VCD ภาพยนต์ ใส่ Virus มาอีกแล้ว

จากที่ผมเคยเจอคำถามเรื่อง แก้ปัญหาแผ่น CD ภาพยนต์ ใส่ Malware (มาให้ด้วย) ไปเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งบอกถึงอาการที่เกิดขึ้นกับเครื่องคอมที่ช้าลงจนถึงค้างทำอะไรไม่ได้เพราะโดนเจ้าตัว Malware นี้เข้าไป ซึ่งโดยมากเค้าจะฝังมากับแผ่น VCD ภาพยนต์ ของค่ายหนัง ในเมืองไทยนี้หละครับ
แต่มาคราวนี้ ผมก็ต้องมาเจอกับอีกรุ่นนึง ของเจ้า Malware ตัวดังกล่าว ที่ไม่แสดงอาการ ทำให้เครื่องช้า อย่างเด่นชัดมากนัก ซึ่งให้สังเกตุที่ CPU Uses ว่าเป็น 100% หรือไม่
สำหรับเจ้าตัวใหม่นี้ ไม่ก่อให้เกิดอาการเครื่องช้าอย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับทำให้ผมไม่สามารถ write แผ่น CD และ DVD ได้ ทั้งๆที่ เป็นการ backup ข้อมูลขอตัวผมเอง ทำให้ผมเสียแผ่นไปหลายแผ่น เสียอารมณ์มากๆ
เลยคิดขึ้นมาว่า อาจโดน virus เล่นงาน เลยทำการตรวจสอบจน พบกับ เจ้าตัว Malware รุ่นใหม่(ล่าสุดหรือเปล่า ไม่แน่ใจ)
การตรวจสอบสาเหตุ อาการช้าของเครื่อง
ทำการเปิด Windows Task Manger โดยการคลิกเมาส์ขวาบน Task Bar แล้วเลือก เมนู Task Manager จะปรากฏหน้าต่างดังรูป
ทำการตรวจสอบรายการว่า มี Process ที่ชื่อ csrss.exe 2 รายการ และ smss.exe 2 รายการหรือไม่ ถ้ามี ก็หมายความ คงโดน Malware หรือ พวก Trojan ตัวใดตัวหนึ่ง หรือไม่อาจเป็นการที่คุณมีการใช้งานโปรแกรบางประเภท (กรณีนี้ ผมยังไม่เคยเจอ เหมือนกันครับ)
สำหรับการทดลองไปดู Performance ก็จะเป็นได้ว่า CPU ที่เป็นปกติ ต้องยอมรับกันจริงๆครับ ว่าตัว Malware ใหม่นี้ ทำงานได้อย่างแนบเนียน มากๆ
ทำการเปิด Explorer ไปยัง C:\WINDOWS\system\Level4 และ C:\Program Files\Windows Media Player\Skins\WindowsMediaSkin\Data\Level4 ว่ามีไฟล์ csrss.exe หรือ smss.exe ตามลำดับ หรือไม่
ถ้าไม่มีไฟล์ ดังกล่าว อาจเป็นไปได้สูงมาก ที่เครื่องคุณอาจติด Virus หรือ Trojan ตัวอื่น ให้ update โปรแกรม AntiVirus ที่ใช้อยู่ แล้ว Scan ให้สิ้นซาก
แต่หากว่าคุณมีไฟล์ csrss.exe และ smss.exe เช่นเดียวกับผมแล้ว เราคงต้องมาทำการ นำเจ้าตัวร้ายนี้ ออกไปซะที โดยใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า Security Task Manager ครับ เป็น shareware สามารถดาว์นโหลดได้จาก
http://www.neuber.com/taskmanager/
เมื่อติดตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการแสดงรายการของ Process ซี่งจะมี Process ของโปรแกรม AutoIt v3 Compiled Scritp จำนวน 2 รายการ ที่มีค่าการใช้งาน CPU มาก
ให้คลิกเลือกรายการทั้งสอง ทีละรายการ แล้วคลิกปุ่ม Remove จากด้านบน และให้ทำการคลิกเลือก End process ตามด้วยคลิกปุ่ม OK เพื่อหยุดการทำงาน ของ Process ทั้งสอง
ต่อไปจะต้องทำการ Remove ข้อมูลใน Registry เพื่อไม่ให้ Malware ตัวนี้ทำงานได้อีก
โดยคลิกที่เมนู Start -> Run แล้วป้อน regedit คลิกปุ่ม OK จะปรากฎหน้าต่าง Registry Editor จากนั้นให้คลิกเลือกไปตาม เมนูย่อยทางซ้ายมือ ดังนี้ HKEY_LOCAL_MACHINE - -> SOFTWARE - -> Microsoft - -> Windows - -> CurrentVersion - ->Run ให้ทำการ ลบรายการของ ออกทั้ง 2 รายการ จากด้านขวามือ ดังรูป

ทิ้งทาย ตัวโปรแกรมที่ใช้ในการกำจัดมาลแวร์ตัวนี้ถ้าอยากได้ แครก ให้แจ้งมานะครับ

HD DVD กับ Blu-ray มาแว้ว (cd,dvd)เตรียมout








ไปอ่านเจอบทความนึงเมื่อคืนนี้โห..ถูกใจมากกับเทคโนโลยี่การบันทึกแผ่นจึงคัดลอกมาให้อ่านกัน.........เมื่อตอนที่มีการแข่งขันบอลโลกครั้งที่ผ่านมานี้หลายท่านคงจะได้ยินข่าวว่า ที่เมืองนอกเขาถ่ายทอดสดในรูปแบบ HDTV กัน ซึ่งภาพที่ได้มีคุณภาพมากกว่าระบบการถ่ายทอดทั่วไป พอผมนึกถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงสื่อบันทึกรูปแบบใหม่ที่จะพัฒนาต่อจาก DVD ในปัจจุบันให้มีความจุและความเร็วมากเพียงพอที่จะใช้บันทึกภาพในความละเอียดสูง ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาออกมา 2 รูปแบบด้วยกันคือ HD DVD กับ Blu-ray DISC (RD) ซึ่งแน่นอนว่ามาตรฐานต้องมีเพียงหนึ่งเดียวและเทคโนโลยีใดจะได้ตำแหน่งนี้มาครอบครอง
หลังจากที่เกริ่นมาเนิ่นนาน หลายท่านคงสงสัยว่า HD DVD กับ ไอ้เจ้า Blu-ray มันคืออะไร




HD DVD มาจากคำว่า High Density DVD ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย HD-DVD Promotion group ซึ่งมีบริษัทมากว่า 63 บริษัทที่ให้ความสนับสนุนเช่น Toshiba, Sanyo, NEC, Universal Pictures และบริษัทอื่นๆ อีก ซึ่งมาตรฐานนี้ได้รับการรับรองจาก DVD Forum ซึ่งเป็นองค์กรที่คอยจัดการมาตรฐานของ DVD ในปัจจุบัน
Blu-ray หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ Blu-ray Disc (BD), เป็นชื่อของเทคโนโลยีหนึ่ง ที่พัฒนาต่อมาจาก DVD ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งมีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Dell, Hitachi, HP, Sony และบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย
High Definition DVD หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้างและอาจไปสับสนกับ HD DVD แต่ที่จริงแล้ว High Definition DVD จะกล่าวรวมทั้ง Blu-ray และ HD DVD
ทั้งสองตัวนี้ได้พัฒนาต่อเนื่องจากแผ่น DVD ที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งรูปร่างและขนาดภายนอกไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย (มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 cm และความหนาประมาณ 1.2 mm. ) แต่สามารถจุข้อมูลได้มากกว่ามากโดยที่ HD DVD แบบ Single Layer จะมีความจุอยู่ที่ 15 GB ส่วน Blu-ray แบบ Single Layer มีความจุอยู่ที่ 25 GB ซึ่งสาเหตุก็มาจากการใช้ Laser ของแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น ความถี่สูง กว่าที่ใช้กันใน DVD ทั่วไปถ้ายังจำกันได้ ตอนที่เราเรียนวิชาฟิสิกส์ ท่านนิวตันบอกว่า แสงขาวสามารถแบ่งออกเป็นสเปกตรัมที่ตาเรามองเห็น เป็น 7 สีเริ่มจากม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง
โดย CD และ DVD ในปัจจุบันใช้ความยาวคลื่นอยู่ที่ 650 nm. ซึ่งอยู่ในช่วงสีแดง แต่ทั้ง HD DVD และ Blu-ray จะใช้แสงที่มีความยาวคลื่นเท่ากันคือ 405 nm.
ความยาวคลื่นมันสั้นลงและมันจะจุข้อมูลได้เยอะกว่าได้ยังไง
เอาเป็นว่า การที่แสงมีความยาวคลื่นเล็กลงทำให้เราสามารถบีบให้ลำแสงมีขนาดเล็กลงได้มากขึ้น ทำให้สามารถอ่านบิตของข้อมูลที่ถูกเก็บในขนาดที่เล็กกว่าได้ดีขึ้น ถ้าจะให้เคลียขอให้ท่านผู้อ่านดูรูปด้านล่างนี้
จากรูป สีดำที่ท่านเห็นแทนบิตข้อมูลที่บันทึกอยู่ในแผ่นชนิดต่างๆ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปข้อมูลที่เก็บจะมีลักษณะขดเป็นวงโดยเริ่มจากด้านในสุดของแผ่น ระยะระหว่างวงเรียกว่า Track Pitch ถ้าเราสามารถลดค่า Track Pitch ลงได้ เราก็สามารถเพิ่มความจุของแผ่นได้
ระยะ Track Pitch
ความแตกต่างระหว่าง HD DVD กับ Blu-ray คืออะไร มาถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะสงสัย กันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ในด้านของโครงสร้างของ แผ่น HD-DVD จะมีโครงสร้างของแผ่นเหมือนกับ DVD ในปัจจุบันโดยความหนาของแผ่นจะอยู่ที่ 1.2 mm. แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ดังนี้ ชั้นของตัวแผ่น (disc) หนาประมาณ 0.6 mm. ชั้นป้องกันการขีดข่วน (protective coating ) หนาประมาณ 0.6 mm. และชั้นบางๆ สำหรับบันทึกข้อมูล (recording layer ) ในขณะที่ทาง Blu-Ray มีความหนาของแผ่นอยู่ที่ 1.2 mm. เช่นเดียวกันแต่ชั้นของตัวแผ่น หนาประมาณ 1.1 mm. นั่นหมายความว่าชั้นป้องกันการขีดข่วนหนาเพียงแค่ 0.1 mm. ซึ่งที่ความบางของชั้นป้องกันนี่เอง เป็นสาเหตุว่าทำไม Blu-Ray จึงจุข้อมูลได้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากการเดินทางของแสงที่ต้องผ่านตัวกลาง plastic น้อยกว่าทำให้แสงมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลที่มี Track Pitch น้อยกว่าได้ซึ่งความแตกต่างทางโครงสร้างแสดงไว้ในตารางดังนี้
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันในด้านการประมวลผลข้อมูล ( data processing ) เช่น การเข้ารหัส ข้อมูล (Modification ) หรือการแก้ไขบิตของข้อมูลซึ่งเกิดการผิดพลาด(Error Correction )
การแข่งขันของเทคโนโลยี DVD ระหว่าง Blu-ray กับ HD DVD ยังคงเดินหน้าต่อไปและทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเทคโนโลยีต่างก็อ้างข้อดีกว่าของตนไปข่มเทคโนโลยีคู่แข่ง อีกทั้งยังคอยสอดหาแนวร่วม ที่จะเป็นส่วนสนับสนุนให้เทคโนโลยีของตนเป็นฝ่ายซิวชัยในที่สุด
ทีนี้ผมจะนำท่านผู้อ่านไปดูข้อได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละเทคโนโลยีกัน
ด้านของบริษัทที่ให้การสนับสนุน : ในแง่นี้ทาง Blu-ray ดูจะเหนือกว่าอยู่มาก โดยได้รับการสนับสนุนจาก 6 บริษัทหลักของ Hollywood อันได้แก่ 20th Century Fox, MGM Studios, Paramount Pictures, Sony Pictures Entertainment, The Walt Disney Company, Warner Bros. ซึ่งเกือบจะครบทุก studios หลักของ Hollywood อยู่แล้วขาดก็เพียงแต่ Universal Studios ซึ่งให้การสนับสนุน HD DVD อย่างเต็มตัวและยังมีอีก 2 Studios นั่นก็คือ Paramount Pictures กับ Warner Bros. ซึ่งให้การสนับสนุนทั้งสองรูปแบบ นอกจากหนังแล้วยังมี บริษัทที่ทำเครื่องเล่นเกมอย่างเช่น Sony ที่สนับสนุน Blu-ray กับเครื่อง Playstation3 ที่คาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ ในขณะเดียวกันทางไมโครซอฟต์ก็ไม่น้อยหน้า จับเทคโนโลยี HD DVD มาให้กับเครื่องเล่น Xbox ของตนเอง
ด้านของราคาและกำลังการผลิต : เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต HD DVD มีความใกล้เคียงกับ DVD ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาก ดังนั้นต้นทุนที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตจากเดิมก็น้อยกว่าทาง Blu-ray และสามารถผลิตแผ่น HD DVD ได้ในเวลาประมาณ 2-3 วินาที ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ Blu-ray ซึ่งต้องมีต้นทุนในการปรับปรุงสายการผลิตเดิมที่สูงกว่า อีกทั้งยังต้องเพิ่มการทำ Hard coat เข้าไปในสายการผลิตเดิมทำให้ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วินาทีถึงแม้เวลาที่ใช้จะต่างกันไม่มากแต่สำหรับการผลิตในปริมาณมากๆ นับว่ามีผลต่อราคาและจำนวนสินค้ามากทีเดียว ดังนั้นทางด้านของราคาและกำลังการผลิตจึงถือเป็นข้อได้เปรียบของ HD DVD
ด้านของความจุ : ในด้านของความจุแน่นอนเลยว่าทางฝั่งของ Blu-ray ต้องได้เปรียบอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ด้านของความเร็วในการอ่านและเขียน : อันเนื่องจากการที่ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้ที่ความหนาแน่นสูงกว่า ทำให้การหมุนของแผ่นที่ 10,000 RPM ให้ความไวของ HD DVD อยู่ที่ 9x ในขณะที่ความไวรอบของการหมุนเท่ากัน Blu-ray สามารถอ่านได้ถึง 12x
ด้านของอายุการใช้งาน : อายุของการใช้งานของ Blu-ray น่าจะนานกว่าเนื่องจากได้รับเกราะชั้นดีจากทาง TDK หรือที่เรียกว่าการทำ Hard coat นั่นเองซึ่งมีผลทำให้สามารถป้องกันความเสียหายอันเกิดจากรอยขีดข่วนได้ดี อีกทั้งยังทนต่อรอยนิ้วมือด้วย
ด้านของความเข้ากันได้กับผลิตภัณฑ์ CD/DVD เดิมที่มีอยู่ : Drive ของทั้งคู่สามารถใช้ได้กับแผ่น CD/DVD ที่มีอยู่เดิม และในปัจจุบันทาง Ricoh ได้ประกาศแล้วว่าสามารถทำแผ่น Diffraction ซึ่งทำให้ Drive สามารถใช้อ่านและเขียนได้ทั้ง Blu-ray และ HD DVD ออกมา แต่อย่างไรก็ดี Blu-ray ยังคงได้เปรียบจากการที่สามารถทำเป็น Hybrid Discs ได้ เนื่องจากเจ้า Blu-ray ใช้ที่ความลึกเพียง 0.1 mm . ทำให้สามารถใส่ DVD DL เพิ่มความจุเข้าไปได้อีก 8.5 GB ซึ่งในตอนนี้ทางบริษัท JVC ได้ทำขึ้นมาแล้ว