HD DVD กับ Blu-ray มาแว้ว (cd,dvd)เตรียมout
ไปอ่านเจอบทความนึงเมื่อคืนนี้โห..ถูกใจมากกับเทคโนโลยี่การบันทึกแผ่นจึงคัดลอกมาให้อ่านกัน.........เมื่อตอนที่มีการแข่งขันบอลโลกครั้งที่ผ่านมานี้หลายท่านคงจะได้ยินข่าวว่า ที่เมืองนอกเขาถ่ายทอดสดในรูปแบบ HDTV กัน ซึ่งภาพที่ได้มีคุณภาพมากกว่าระบบการถ่ายทอดทั่วไป พอผมนึกถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงสื่อบันทึกรูปแบบใหม่ที่จะพัฒนาต่อจาก DVD ในปัจจุบันให้มีความจุและความเร็วมากเพียงพอที่จะใช้บันทึกภาพในความละเอียดสูง ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาออกมา 2 รูปแบบด้วยกันคือ HD DVD กับ Blu-ray DISC (RD) ซึ่งแน่นอนว่ามาตรฐานต้องมีเพียงหนึ่งเดียวและเทคโนโลยีใดจะได้ตำแหน่งนี้มาครอบครอง
หลังจากที่เกริ่นมาเนิ่นนาน หลายท่านคงสงสัยว่า HD DVD กับ ไอ้เจ้า Blu-ray มันคืออะไร
หลังจากที่เกริ่นมาเนิ่นนาน หลายท่านคงสงสัยว่า HD DVD กับ ไอ้เจ้า Blu-ray มันคืออะไร
HD DVD มาจากคำว่า High Density DVD ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย HD-DVD Promotion group ซึ่งมีบริษัทมากว่า 63 บริษัทที่ให้ความสนับสนุนเช่น Toshiba, Sanyo, NEC, Universal Pictures และบริษัทอื่นๆ อีก ซึ่งมาตรฐานนี้ได้รับการรับรองจาก DVD Forum ซึ่งเป็นองค์กรที่คอยจัดการมาตรฐานของ DVD ในปัจจุบัน
Blu-ray หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ Blu-ray Disc (BD), เป็นชื่อของเทคโนโลยีหนึ่ง ที่พัฒนาต่อมาจาก DVD ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งมีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Dell, Hitachi, HP, Sony และบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย
High Definition DVD หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้างและอาจไปสับสนกับ HD DVD แต่ที่จริงแล้ว High Definition DVD จะกล่าวรวมทั้ง Blu-ray และ HD DVD
ทั้งสองตัวนี้ได้พัฒนาต่อเนื่องจากแผ่น DVD ที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งรูปร่างและขนาดภายนอกไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย (มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 cm และความหนาประมาณ 1.2 mm. ) แต่สามารถจุข้อมูลได้มากกว่ามากโดยที่ HD DVD แบบ Single Layer จะมีความจุอยู่ที่ 15 GB ส่วน Blu-ray แบบ Single Layer มีความจุอยู่ที่ 25 GB ซึ่งสาเหตุก็มาจากการใช้ Laser ของแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น ความถี่สูง กว่าที่ใช้กันใน DVD ทั่วไปถ้ายังจำกันได้ ตอนที่เราเรียนวิชาฟิสิกส์ ท่านนิวตันบอกว่า แสงขาวสามารถแบ่งออกเป็นสเปกตรัมที่ตาเรามองเห็น เป็น 7 สีเริ่มจากม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง
โดย CD และ DVD ในปัจจุบันใช้ความยาวคลื่นอยู่ที่ 650 nm. ซึ่งอยู่ในช่วงสีแดง แต่ทั้ง HD DVD และ Blu-ray จะใช้แสงที่มีความยาวคลื่นเท่ากันคือ 405 nm.
ความยาวคลื่นมันสั้นลงและมันจะจุข้อมูลได้เยอะกว่าได้ยังไง
เอาเป็นว่า การที่แสงมีความยาวคลื่นเล็กลงทำให้เราสามารถบีบให้ลำแสงมีขนาดเล็กลงได้มากขึ้น ทำให้สามารถอ่านบิตของข้อมูลที่ถูกเก็บในขนาดที่เล็กกว่าได้ดีขึ้น ถ้าจะให้เคลียขอให้ท่านผู้อ่านดูรูปด้านล่างนี้
จากรูป สีดำที่ท่านเห็นแทนบิตข้อมูลที่บันทึกอยู่ในแผ่นชนิดต่างๆ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปข้อมูลที่เก็บจะมีลักษณะขดเป็นวงโดยเริ่มจากด้านในสุดของแผ่น ระยะระหว่างวงเรียกว่า Track Pitch ถ้าเราสามารถลดค่า Track Pitch ลงได้ เราก็สามารถเพิ่มความจุของแผ่นได้
ระยะ Track Pitch
ความแตกต่างระหว่าง HD DVD กับ Blu-ray คืออะไร มาถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะสงสัย กันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ในด้านของโครงสร้างของ แผ่น HD-DVD จะมีโครงสร้างของแผ่นเหมือนกับ DVD ในปัจจุบันโดยความหนาของแผ่นจะอยู่ที่ 1.2 mm. แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ดังนี้ ชั้นของตัวแผ่น (disc) หนาประมาณ 0.6 mm. ชั้นป้องกันการขีดข่วน (protective coating ) หนาประมาณ 0.6 mm. และชั้นบางๆ สำหรับบันทึกข้อมูล (recording layer ) ในขณะที่ทาง Blu-Ray มีความหนาของแผ่นอยู่ที่ 1.2 mm. เช่นเดียวกันแต่ชั้นของตัวแผ่น หนาประมาณ 1.1 mm. นั่นหมายความว่าชั้นป้องกันการขีดข่วนหนาเพียงแค่ 0.1 mm. ซึ่งที่ความบางของชั้นป้องกันนี่เอง เป็นสาเหตุว่าทำไม Blu-Ray จึงจุข้อมูลได้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากการเดินทางของแสงที่ต้องผ่านตัวกลาง plastic น้อยกว่าทำให้แสงมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลที่มี Track Pitch น้อยกว่าได้ซึ่งความแตกต่างทางโครงสร้างแสดงไว้ในตารางดังนี้
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันในด้านการประมวลผลข้อมูล ( data processing ) เช่น การเข้ารหัส ข้อมูล (Modification ) หรือการแก้ไขบิตของข้อมูลซึ่งเกิดการผิดพลาด(Error Correction )
การแข่งขันของเทคโนโลยี DVD ระหว่าง Blu-ray กับ HD DVD ยังคงเดินหน้าต่อไปและทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเทคโนโลยีต่างก็อ้างข้อดีกว่าของตนไปข่มเทคโนโลยีคู่แข่ง อีกทั้งยังคอยสอดหาแนวร่วม ที่จะเป็นส่วนสนับสนุนให้เทคโนโลยีของตนเป็นฝ่ายซิวชัยในที่สุด
ทีนี้ผมจะนำท่านผู้อ่านไปดูข้อได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละเทคโนโลยีกัน
ด้านของบริษัทที่ให้การสนับสนุน : ในแง่นี้ทาง Blu-ray ดูจะเหนือกว่าอยู่มาก โดยได้รับการสนับสนุนจาก 6 บริษัทหลักของ Hollywood อันได้แก่ 20th Century Fox, MGM Studios, Paramount Pictures, Sony Pictures Entertainment, The Walt Disney Company, Warner Bros. ซึ่งเกือบจะครบทุก studios หลักของ Hollywood อยู่แล้วขาดก็เพียงแต่ Universal Studios ซึ่งให้การสนับสนุน HD DVD อย่างเต็มตัวและยังมีอีก 2 Studios นั่นก็คือ Paramount Pictures กับ Warner Bros. ซึ่งให้การสนับสนุนทั้งสองรูปแบบ นอกจากหนังแล้วยังมี บริษัทที่ทำเครื่องเล่นเกมอย่างเช่น Sony ที่สนับสนุน Blu-ray กับเครื่อง Playstation3 ที่คาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ ในขณะเดียวกันทางไมโครซอฟต์ก็ไม่น้อยหน้า จับเทคโนโลยี HD DVD มาให้กับเครื่องเล่น Xbox ของตนเอง
ด้านของราคาและกำลังการผลิต : เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต HD DVD มีความใกล้เคียงกับ DVD ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาก ดังนั้นต้นทุนที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตจากเดิมก็น้อยกว่าทาง Blu-ray และสามารถผลิตแผ่น HD DVD ได้ในเวลาประมาณ 2-3 วินาที ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ Blu-ray ซึ่งต้องมีต้นทุนในการปรับปรุงสายการผลิตเดิมที่สูงกว่า อีกทั้งยังต้องเพิ่มการทำ Hard coat เข้าไปในสายการผลิตเดิมทำให้ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วินาทีถึงแม้เวลาที่ใช้จะต่างกันไม่มากแต่สำหรับการผลิตในปริมาณมากๆ นับว่ามีผลต่อราคาและจำนวนสินค้ามากทีเดียว ดังนั้นทางด้านของราคาและกำลังการผลิตจึงถือเป็นข้อได้เปรียบของ HD DVD
ด้านของความจุ : ในด้านของความจุแน่นอนเลยว่าทางฝั่งของ Blu-ray ต้องได้เปรียบอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ด้านของความเร็วในการอ่านและเขียน : อันเนื่องจากการที่ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้ที่ความหนาแน่นสูงกว่า ทำให้การหมุนของแผ่นที่ 10,000 RPM ให้ความไวของ HD DVD อยู่ที่ 9x ในขณะที่ความไวรอบของการหมุนเท่ากัน Blu-ray สามารถอ่านได้ถึง 12x
ด้านของอายุการใช้งาน : อายุของการใช้งานของ Blu-ray น่าจะนานกว่าเนื่องจากได้รับเกราะชั้นดีจากทาง TDK หรือที่เรียกว่าการทำ Hard coat นั่นเองซึ่งมีผลทำให้สามารถป้องกันความเสียหายอันเกิดจากรอยขีดข่วนได้ดี อีกทั้งยังทนต่อรอยนิ้วมือด้วย
ด้านของความเข้ากันได้กับผลิตภัณฑ์ CD/DVD เดิมที่มีอยู่ : Drive ของทั้งคู่สามารถใช้ได้กับแผ่น CD/DVD ที่มีอยู่เดิม และในปัจจุบันทาง Ricoh ได้ประกาศแล้วว่าสามารถทำแผ่น Diffraction ซึ่งทำให้ Drive สามารถใช้อ่านและเขียนได้ทั้ง Blu-ray และ HD DVD ออกมา แต่อย่างไรก็ดี Blu-ray ยังคงได้เปรียบจากการที่สามารถทำเป็น Hybrid Discs ได้ เนื่องจากเจ้า Blu-ray ใช้ที่ความลึกเพียง 0.1 mm . ทำให้สามารถใส่ DVD DL เพิ่มความจุเข้าไปได้อีก 8.5 GB ซึ่งในตอนนี้ทางบริษัท JVC ได้ทำขึ้นมาแล้ว
Blu-ray หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ Blu-ray Disc (BD), เป็นชื่อของเทคโนโลยีหนึ่ง ที่พัฒนาต่อมาจาก DVD ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งมีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Dell, Hitachi, HP, Sony และบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย
High Definition DVD หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้างและอาจไปสับสนกับ HD DVD แต่ที่จริงแล้ว High Definition DVD จะกล่าวรวมทั้ง Blu-ray และ HD DVD
ทั้งสองตัวนี้ได้พัฒนาต่อเนื่องจากแผ่น DVD ที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งรูปร่างและขนาดภายนอกไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย (มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 cm และความหนาประมาณ 1.2 mm. ) แต่สามารถจุข้อมูลได้มากกว่ามากโดยที่ HD DVD แบบ Single Layer จะมีความจุอยู่ที่ 15 GB ส่วน Blu-ray แบบ Single Layer มีความจุอยู่ที่ 25 GB ซึ่งสาเหตุก็มาจากการใช้ Laser ของแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น ความถี่สูง กว่าที่ใช้กันใน DVD ทั่วไปถ้ายังจำกันได้ ตอนที่เราเรียนวิชาฟิสิกส์ ท่านนิวตันบอกว่า แสงขาวสามารถแบ่งออกเป็นสเปกตรัมที่ตาเรามองเห็น เป็น 7 สีเริ่มจากม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง
โดย CD และ DVD ในปัจจุบันใช้ความยาวคลื่นอยู่ที่ 650 nm. ซึ่งอยู่ในช่วงสีแดง แต่ทั้ง HD DVD และ Blu-ray จะใช้แสงที่มีความยาวคลื่นเท่ากันคือ 405 nm.
ความยาวคลื่นมันสั้นลงและมันจะจุข้อมูลได้เยอะกว่าได้ยังไง
เอาเป็นว่า การที่แสงมีความยาวคลื่นเล็กลงทำให้เราสามารถบีบให้ลำแสงมีขนาดเล็กลงได้มากขึ้น ทำให้สามารถอ่านบิตของข้อมูลที่ถูกเก็บในขนาดที่เล็กกว่าได้ดีขึ้น ถ้าจะให้เคลียขอให้ท่านผู้อ่านดูรูปด้านล่างนี้
จากรูป สีดำที่ท่านเห็นแทนบิตข้อมูลที่บันทึกอยู่ในแผ่นชนิดต่างๆ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปข้อมูลที่เก็บจะมีลักษณะขดเป็นวงโดยเริ่มจากด้านในสุดของแผ่น ระยะระหว่างวงเรียกว่า Track Pitch ถ้าเราสามารถลดค่า Track Pitch ลงได้ เราก็สามารถเพิ่มความจุของแผ่นได้
ระยะ Track Pitch
ความแตกต่างระหว่าง HD DVD กับ Blu-ray คืออะไร มาถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะสงสัย กันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ในด้านของโครงสร้างของ แผ่น HD-DVD จะมีโครงสร้างของแผ่นเหมือนกับ DVD ในปัจจุบันโดยความหนาของแผ่นจะอยู่ที่ 1.2 mm. แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ดังนี้ ชั้นของตัวแผ่น (disc) หนาประมาณ 0.6 mm. ชั้นป้องกันการขีดข่วน (protective coating ) หนาประมาณ 0.6 mm. และชั้นบางๆ สำหรับบันทึกข้อมูล (recording layer ) ในขณะที่ทาง Blu-Ray มีความหนาของแผ่นอยู่ที่ 1.2 mm. เช่นเดียวกันแต่ชั้นของตัวแผ่น หนาประมาณ 1.1 mm. นั่นหมายความว่าชั้นป้องกันการขีดข่วนหนาเพียงแค่ 0.1 mm. ซึ่งที่ความบางของชั้นป้องกันนี่เอง เป็นสาเหตุว่าทำไม Blu-Ray จึงจุข้อมูลได้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากการเดินทางของแสงที่ต้องผ่านตัวกลาง plastic น้อยกว่าทำให้แสงมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลที่มี Track Pitch น้อยกว่าได้ซึ่งความแตกต่างทางโครงสร้างแสดงไว้ในตารางดังนี้
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันในด้านการประมวลผลข้อมูล ( data processing ) เช่น การเข้ารหัส ข้อมูล (Modification ) หรือการแก้ไขบิตของข้อมูลซึ่งเกิดการผิดพลาด(Error Correction )
การแข่งขันของเทคโนโลยี DVD ระหว่าง Blu-ray กับ HD DVD ยังคงเดินหน้าต่อไปและทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเทคโนโลยีต่างก็อ้างข้อดีกว่าของตนไปข่มเทคโนโลยีคู่แข่ง อีกทั้งยังคอยสอดหาแนวร่วม ที่จะเป็นส่วนสนับสนุนให้เทคโนโลยีของตนเป็นฝ่ายซิวชัยในที่สุด
ทีนี้ผมจะนำท่านผู้อ่านไปดูข้อได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละเทคโนโลยีกัน
ด้านของบริษัทที่ให้การสนับสนุน : ในแง่นี้ทาง Blu-ray ดูจะเหนือกว่าอยู่มาก โดยได้รับการสนับสนุนจาก 6 บริษัทหลักของ Hollywood อันได้แก่ 20th Century Fox, MGM Studios, Paramount Pictures, Sony Pictures Entertainment, The Walt Disney Company, Warner Bros. ซึ่งเกือบจะครบทุก studios หลักของ Hollywood อยู่แล้วขาดก็เพียงแต่ Universal Studios ซึ่งให้การสนับสนุน HD DVD อย่างเต็มตัวและยังมีอีก 2 Studios นั่นก็คือ Paramount Pictures กับ Warner Bros. ซึ่งให้การสนับสนุนทั้งสองรูปแบบ นอกจากหนังแล้วยังมี บริษัทที่ทำเครื่องเล่นเกมอย่างเช่น Sony ที่สนับสนุน Blu-ray กับเครื่อง Playstation3 ที่คาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ ในขณะเดียวกันทางไมโครซอฟต์ก็ไม่น้อยหน้า จับเทคโนโลยี HD DVD มาให้กับเครื่องเล่น Xbox ของตนเอง
ด้านของราคาและกำลังการผลิต : เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต HD DVD มีความใกล้เคียงกับ DVD ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาก ดังนั้นต้นทุนที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตจากเดิมก็น้อยกว่าทาง Blu-ray และสามารถผลิตแผ่น HD DVD ได้ในเวลาประมาณ 2-3 วินาที ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ Blu-ray ซึ่งต้องมีต้นทุนในการปรับปรุงสายการผลิตเดิมที่สูงกว่า อีกทั้งยังต้องเพิ่มการทำ Hard coat เข้าไปในสายการผลิตเดิมทำให้ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วินาทีถึงแม้เวลาที่ใช้จะต่างกันไม่มากแต่สำหรับการผลิตในปริมาณมากๆ นับว่ามีผลต่อราคาและจำนวนสินค้ามากทีเดียว ดังนั้นทางด้านของราคาและกำลังการผลิตจึงถือเป็นข้อได้เปรียบของ HD DVD
ด้านของความจุ : ในด้านของความจุแน่นอนเลยว่าทางฝั่งของ Blu-ray ต้องได้เปรียบอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ด้านของความเร็วในการอ่านและเขียน : อันเนื่องจากการที่ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้ที่ความหนาแน่นสูงกว่า ทำให้การหมุนของแผ่นที่ 10,000 RPM ให้ความไวของ HD DVD อยู่ที่ 9x ในขณะที่ความไวรอบของการหมุนเท่ากัน Blu-ray สามารถอ่านได้ถึง 12x
ด้านของอายุการใช้งาน : อายุของการใช้งานของ Blu-ray น่าจะนานกว่าเนื่องจากได้รับเกราะชั้นดีจากทาง TDK หรือที่เรียกว่าการทำ Hard coat นั่นเองซึ่งมีผลทำให้สามารถป้องกันความเสียหายอันเกิดจากรอยขีดข่วนได้ดี อีกทั้งยังทนต่อรอยนิ้วมือด้วย
ด้านของความเข้ากันได้กับผลิตภัณฑ์ CD/DVD เดิมที่มีอยู่ : Drive ของทั้งคู่สามารถใช้ได้กับแผ่น CD/DVD ที่มีอยู่เดิม และในปัจจุบันทาง Ricoh ได้ประกาศแล้วว่าสามารถทำแผ่น Diffraction ซึ่งทำให้ Drive สามารถใช้อ่านและเขียนได้ทั้ง Blu-ray และ HD DVD ออกมา แต่อย่างไรก็ดี Blu-ray ยังคงได้เปรียบจากการที่สามารถทำเป็น Hybrid Discs ได้ เนื่องจากเจ้า Blu-ray ใช้ที่ความลึกเพียง 0.1 mm . ทำให้สามารถใส่ DVD DL เพิ่มความจุเข้าไปได้อีก 8.5 GB ซึ่งในตอนนี้ทางบริษัท JVC ได้ทำขึ้นมาแล้ว