VCD ภาพยนต์ ใส่ Virus มาอีกแล้ว

จากที่ผมเคยเจอคำถามเรื่อง แก้ปัญหาแผ่น CD ภาพยนต์ ใส่ Malware (มาให้ด้วย) ไปเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งบอกถึงอาการที่เกิดขึ้นกับเครื่องคอมที่ช้าลงจนถึงค้างทำอะไรไม่ได้เพราะโดนเจ้าตัว Malware นี้เข้าไป ซึ่งโดยมากเค้าจะฝังมากับแผ่น VCD ภาพยนต์ ของค่ายหนัง ในเมืองไทยนี้หละครับ
แต่มาคราวนี้ ผมก็ต้องมาเจอกับอีกรุ่นนึง ของเจ้า Malware ตัวดังกล่าว ที่ไม่แสดงอาการ ทำให้เครื่องช้า อย่างเด่นชัดมากนัก ซึ่งให้สังเกตุที่ CPU Uses ว่าเป็น 100% หรือไม่
สำหรับเจ้าตัวใหม่นี้ ไม่ก่อให้เกิดอาการเครื่องช้าอย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับทำให้ผมไม่สามารถ write แผ่น CD และ DVD ได้ ทั้งๆที่ เป็นการ backup ข้อมูลขอตัวผมเอง ทำให้ผมเสียแผ่นไปหลายแผ่น เสียอารมณ์มากๆ
เลยคิดขึ้นมาว่า อาจโดน virus เล่นงาน เลยทำการตรวจสอบจน พบกับ เจ้าตัว Malware รุ่นใหม่(ล่าสุดหรือเปล่า ไม่แน่ใจ)
การตรวจสอบสาเหตุ อาการช้าของเครื่อง
ทำการเปิด Windows Task Manger โดยการคลิกเมาส์ขวาบน Task Bar แล้วเลือก เมนู Task Manager จะปรากฏหน้าต่างดังรูป
ทำการตรวจสอบรายการว่า มี Process ที่ชื่อ csrss.exe 2 รายการ และ smss.exe 2 รายการหรือไม่ ถ้ามี ก็หมายความ คงโดน Malware หรือ พวก Trojan ตัวใดตัวหนึ่ง หรือไม่อาจเป็นการที่คุณมีการใช้งานโปรแกรบางประเภท (กรณีนี้ ผมยังไม่เคยเจอ เหมือนกันครับ)
สำหรับการทดลองไปดู Performance ก็จะเป็นได้ว่า CPU ที่เป็นปกติ ต้องยอมรับกันจริงๆครับ ว่าตัว Malware ใหม่นี้ ทำงานได้อย่างแนบเนียน มากๆ
ทำการเปิด Explorer ไปยัง C:\WINDOWS\system\Level4 และ C:\Program Files\Windows Media Player\Skins\WindowsMediaSkin\Data\Level4 ว่ามีไฟล์ csrss.exe หรือ smss.exe ตามลำดับ หรือไม่
ถ้าไม่มีไฟล์ ดังกล่าว อาจเป็นไปได้สูงมาก ที่เครื่องคุณอาจติด Virus หรือ Trojan ตัวอื่น ให้ update โปรแกรม AntiVirus ที่ใช้อยู่ แล้ว Scan ให้สิ้นซาก
แต่หากว่าคุณมีไฟล์ csrss.exe และ smss.exe เช่นเดียวกับผมแล้ว เราคงต้องมาทำการ นำเจ้าตัวร้ายนี้ ออกไปซะที โดยใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า Security Task Manager ครับ เป็น shareware สามารถดาว์นโหลดได้จาก
http://www.neuber.com/taskmanager/
เมื่อติดตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการแสดงรายการของ Process ซี่งจะมี Process ของโปรแกรม AutoIt v3 Compiled Scritp จำนวน 2 รายการ ที่มีค่าการใช้งาน CPU มาก
ให้คลิกเลือกรายการทั้งสอง ทีละรายการ แล้วคลิกปุ่ม Remove จากด้านบน และให้ทำการคลิกเลือก End process ตามด้วยคลิกปุ่ม OK เพื่อหยุดการทำงาน ของ Process ทั้งสอง
ต่อไปจะต้องทำการ Remove ข้อมูลใน Registry เพื่อไม่ให้ Malware ตัวนี้ทำงานได้อีก
โดยคลิกที่เมนู Start -> Run แล้วป้อน regedit คลิกปุ่ม OK จะปรากฎหน้าต่าง Registry Editor จากนั้นให้คลิกเลือกไปตาม เมนูย่อยทางซ้ายมือ ดังนี้ HKEY_LOCAL_MACHINE - -> SOFTWARE - -> Microsoft - -> Windows - -> CurrentVersion - ->Run ให้ทำการ ลบรายการของ ออกทั้ง 2 รายการ จากด้านขวามือ ดังรูป

ทิ้งทาย ตัวโปรแกรมที่ใช้ในการกำจัดมาลแวร์ตัวนี้ถ้าอยากได้ แครก ให้แจ้งมานะครับ

HD DVD กับ Blu-ray มาแว้ว (cd,dvd)เตรียมout








ไปอ่านเจอบทความนึงเมื่อคืนนี้โห..ถูกใจมากกับเทคโนโลยี่การบันทึกแผ่นจึงคัดลอกมาให้อ่านกัน.........เมื่อตอนที่มีการแข่งขันบอลโลกครั้งที่ผ่านมานี้หลายท่านคงจะได้ยินข่าวว่า ที่เมืองนอกเขาถ่ายทอดสดในรูปแบบ HDTV กัน ซึ่งภาพที่ได้มีคุณภาพมากกว่าระบบการถ่ายทอดทั่วไป พอผมนึกถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงสื่อบันทึกรูปแบบใหม่ที่จะพัฒนาต่อจาก DVD ในปัจจุบันให้มีความจุและความเร็วมากเพียงพอที่จะใช้บันทึกภาพในความละเอียดสูง ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาออกมา 2 รูปแบบด้วยกันคือ HD DVD กับ Blu-ray DISC (RD) ซึ่งแน่นอนว่ามาตรฐานต้องมีเพียงหนึ่งเดียวและเทคโนโลยีใดจะได้ตำแหน่งนี้มาครอบครอง
หลังจากที่เกริ่นมาเนิ่นนาน หลายท่านคงสงสัยว่า HD DVD กับ ไอ้เจ้า Blu-ray มันคืออะไร




HD DVD มาจากคำว่า High Density DVD ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย HD-DVD Promotion group ซึ่งมีบริษัทมากว่า 63 บริษัทที่ให้ความสนับสนุนเช่น Toshiba, Sanyo, NEC, Universal Pictures และบริษัทอื่นๆ อีก ซึ่งมาตรฐานนี้ได้รับการรับรองจาก DVD Forum ซึ่งเป็นองค์กรที่คอยจัดการมาตรฐานของ DVD ในปัจจุบัน
Blu-ray หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ Blu-ray Disc (BD), เป็นชื่อของเทคโนโลยีหนึ่ง ที่พัฒนาต่อมาจาก DVD ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งมีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Dell, Hitachi, HP, Sony และบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย
High Definition DVD หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้างและอาจไปสับสนกับ HD DVD แต่ที่จริงแล้ว High Definition DVD จะกล่าวรวมทั้ง Blu-ray และ HD DVD
ทั้งสองตัวนี้ได้พัฒนาต่อเนื่องจากแผ่น DVD ที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งรูปร่างและขนาดภายนอกไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย (มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 cm และความหนาประมาณ 1.2 mm. ) แต่สามารถจุข้อมูลได้มากกว่ามากโดยที่ HD DVD แบบ Single Layer จะมีความจุอยู่ที่ 15 GB ส่วน Blu-ray แบบ Single Layer มีความจุอยู่ที่ 25 GB ซึ่งสาเหตุก็มาจากการใช้ Laser ของแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น ความถี่สูง กว่าที่ใช้กันใน DVD ทั่วไปถ้ายังจำกันได้ ตอนที่เราเรียนวิชาฟิสิกส์ ท่านนิวตันบอกว่า แสงขาวสามารถแบ่งออกเป็นสเปกตรัมที่ตาเรามองเห็น เป็น 7 สีเริ่มจากม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง
โดย CD และ DVD ในปัจจุบันใช้ความยาวคลื่นอยู่ที่ 650 nm. ซึ่งอยู่ในช่วงสีแดง แต่ทั้ง HD DVD และ Blu-ray จะใช้แสงที่มีความยาวคลื่นเท่ากันคือ 405 nm.
ความยาวคลื่นมันสั้นลงและมันจะจุข้อมูลได้เยอะกว่าได้ยังไง
เอาเป็นว่า การที่แสงมีความยาวคลื่นเล็กลงทำให้เราสามารถบีบให้ลำแสงมีขนาดเล็กลงได้มากขึ้น ทำให้สามารถอ่านบิตของข้อมูลที่ถูกเก็บในขนาดที่เล็กกว่าได้ดีขึ้น ถ้าจะให้เคลียขอให้ท่านผู้อ่านดูรูปด้านล่างนี้
จากรูป สีดำที่ท่านเห็นแทนบิตข้อมูลที่บันทึกอยู่ในแผ่นชนิดต่างๆ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปข้อมูลที่เก็บจะมีลักษณะขดเป็นวงโดยเริ่มจากด้านในสุดของแผ่น ระยะระหว่างวงเรียกว่า Track Pitch ถ้าเราสามารถลดค่า Track Pitch ลงได้ เราก็สามารถเพิ่มความจุของแผ่นได้
ระยะ Track Pitch
ความแตกต่างระหว่าง HD DVD กับ Blu-ray คืออะไร มาถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะสงสัย กันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ในด้านของโครงสร้างของ แผ่น HD-DVD จะมีโครงสร้างของแผ่นเหมือนกับ DVD ในปัจจุบันโดยความหนาของแผ่นจะอยู่ที่ 1.2 mm. แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ดังนี้ ชั้นของตัวแผ่น (disc) หนาประมาณ 0.6 mm. ชั้นป้องกันการขีดข่วน (protective coating ) หนาประมาณ 0.6 mm. และชั้นบางๆ สำหรับบันทึกข้อมูล (recording layer ) ในขณะที่ทาง Blu-Ray มีความหนาของแผ่นอยู่ที่ 1.2 mm. เช่นเดียวกันแต่ชั้นของตัวแผ่น หนาประมาณ 1.1 mm. นั่นหมายความว่าชั้นป้องกันการขีดข่วนหนาเพียงแค่ 0.1 mm. ซึ่งที่ความบางของชั้นป้องกันนี่เอง เป็นสาเหตุว่าทำไม Blu-Ray จึงจุข้อมูลได้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากการเดินทางของแสงที่ต้องผ่านตัวกลาง plastic น้อยกว่าทำให้แสงมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลที่มี Track Pitch น้อยกว่าได้ซึ่งความแตกต่างทางโครงสร้างแสดงไว้ในตารางดังนี้
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันในด้านการประมวลผลข้อมูล ( data processing ) เช่น การเข้ารหัส ข้อมูล (Modification ) หรือการแก้ไขบิตของข้อมูลซึ่งเกิดการผิดพลาด(Error Correction )
การแข่งขันของเทคโนโลยี DVD ระหว่าง Blu-ray กับ HD DVD ยังคงเดินหน้าต่อไปและทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเทคโนโลยีต่างก็อ้างข้อดีกว่าของตนไปข่มเทคโนโลยีคู่แข่ง อีกทั้งยังคอยสอดหาแนวร่วม ที่จะเป็นส่วนสนับสนุนให้เทคโนโลยีของตนเป็นฝ่ายซิวชัยในที่สุด
ทีนี้ผมจะนำท่านผู้อ่านไปดูข้อได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละเทคโนโลยีกัน
ด้านของบริษัทที่ให้การสนับสนุน : ในแง่นี้ทาง Blu-ray ดูจะเหนือกว่าอยู่มาก โดยได้รับการสนับสนุนจาก 6 บริษัทหลักของ Hollywood อันได้แก่ 20th Century Fox, MGM Studios, Paramount Pictures, Sony Pictures Entertainment, The Walt Disney Company, Warner Bros. ซึ่งเกือบจะครบทุก studios หลักของ Hollywood อยู่แล้วขาดก็เพียงแต่ Universal Studios ซึ่งให้การสนับสนุน HD DVD อย่างเต็มตัวและยังมีอีก 2 Studios นั่นก็คือ Paramount Pictures กับ Warner Bros. ซึ่งให้การสนับสนุนทั้งสองรูปแบบ นอกจากหนังแล้วยังมี บริษัทที่ทำเครื่องเล่นเกมอย่างเช่น Sony ที่สนับสนุน Blu-ray กับเครื่อง Playstation3 ที่คาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ ในขณะเดียวกันทางไมโครซอฟต์ก็ไม่น้อยหน้า จับเทคโนโลยี HD DVD มาให้กับเครื่องเล่น Xbox ของตนเอง
ด้านของราคาและกำลังการผลิต : เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต HD DVD มีความใกล้เคียงกับ DVD ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาก ดังนั้นต้นทุนที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตจากเดิมก็น้อยกว่าทาง Blu-ray และสามารถผลิตแผ่น HD DVD ได้ในเวลาประมาณ 2-3 วินาที ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ Blu-ray ซึ่งต้องมีต้นทุนในการปรับปรุงสายการผลิตเดิมที่สูงกว่า อีกทั้งยังต้องเพิ่มการทำ Hard coat เข้าไปในสายการผลิตเดิมทำให้ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วินาทีถึงแม้เวลาที่ใช้จะต่างกันไม่มากแต่สำหรับการผลิตในปริมาณมากๆ นับว่ามีผลต่อราคาและจำนวนสินค้ามากทีเดียว ดังนั้นทางด้านของราคาและกำลังการผลิตจึงถือเป็นข้อได้เปรียบของ HD DVD
ด้านของความจุ : ในด้านของความจุแน่นอนเลยว่าทางฝั่งของ Blu-ray ต้องได้เปรียบอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ด้านของความเร็วในการอ่านและเขียน : อันเนื่องจากการที่ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้ที่ความหนาแน่นสูงกว่า ทำให้การหมุนของแผ่นที่ 10,000 RPM ให้ความไวของ HD DVD อยู่ที่ 9x ในขณะที่ความไวรอบของการหมุนเท่ากัน Blu-ray สามารถอ่านได้ถึง 12x
ด้านของอายุการใช้งาน : อายุของการใช้งานของ Blu-ray น่าจะนานกว่าเนื่องจากได้รับเกราะชั้นดีจากทาง TDK หรือที่เรียกว่าการทำ Hard coat นั่นเองซึ่งมีผลทำให้สามารถป้องกันความเสียหายอันเกิดจากรอยขีดข่วนได้ดี อีกทั้งยังทนต่อรอยนิ้วมือด้วย
ด้านของความเข้ากันได้กับผลิตภัณฑ์ CD/DVD เดิมที่มีอยู่ : Drive ของทั้งคู่สามารถใช้ได้กับแผ่น CD/DVD ที่มีอยู่เดิม และในปัจจุบันทาง Ricoh ได้ประกาศแล้วว่าสามารถทำแผ่น Diffraction ซึ่งทำให้ Drive สามารถใช้อ่านและเขียนได้ทั้ง Blu-ray และ HD DVD ออกมา แต่อย่างไรก็ดี Blu-ray ยังคงได้เปรียบจากการที่สามารถทำเป็น Hybrid Discs ได้ เนื่องจากเจ้า Blu-ray ใช้ที่ความลึกเพียง 0.1 mm . ทำให้สามารถใส่ DVD DL เพิ่มความจุเข้าไปได้อีก 8.5 GB ซึ่งในตอนนี้ทางบริษัท JVC ได้ทำขึ้นมาแล้ว

เครื่องคอมฯ อืดจังเลยเพราะอารัยเหรอ


ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร มีแต่คนใกล้ตัวมาบ่นเรื่องอุปกรณ์ไอทีกันได้ทุกวี่วัน เดี๋ยวมือถือโทร.ไม่ติด พีดีเอดับเอง กล้องดิจิตอลถ่ายแล้วภาพไม่ชัด นานาสารพัดปัญหาจริงๆ แต่ปัญหาหนึ่งที่เรียกว่าเป็นปัญหายอดนิยม ที่คงไม่มีใครคนไหนอยากพบเจอ ก็คือปัญหาคอมพิวเตอร์ตัวเก่ง ไม่ว่าจะเป็นแบบตั้งโต๊ะ หรือโน้ตบุ๊กออกอาการชราภาพก่อนวัยอันควร ทั้งๆ ที่เพิ่งจะซื้อมา หรือเพิ่งจะอัพเกรดมาไม่นาน
จริงๆ แล้วการที่เราพิถีพิถันเลือกดูสเปก หรือโน้ตบุ๊กนั้น เราๆ ท่านๆ ก็มักจะดูสเปกเผื่อเอาไว้สำหรับอนาคตกันอยู่แล้ว ส่วนใครจะเผื่อมากเผื่อน้อยก็อยู่ที่งบประมาณเท่านั้นเอง แต่การที่คอมพิวเตอร์ของเรานั้นกลับทำงานได้ช้าลง ช้าลง และช้าลงทุกวัน นับตั้งแต่เราซื้อมันมาใช้งานนั้น สาเหตุอานไม่ได้มาจากความเก่าของตัวฮาร์ดแวร์ภายในเพียงอย่างเดียว การดูแลรักษาและการจัดการข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเราเอง ก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก ที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สุดที่รักของเรา อยู่คู่กับเราไปนานๆ เท่าที่เราหวังไว้
มาลองดูดีกว่าครับว่า ปัญหาหลักๆ ของการที่คอมพิวเตอร์ตัวเก่งเริ่มออกอาการงอแง หรือออกอาการชราภาพก่อนวัยอันควรนั้น มีสาเหตุหลักๆ อะไรบ้าง และจะมีหนทางแก้ไขอย่างไร
เคยมีการสำรวจแล้วพบว่า กว่า 70% ของปัญหาที่ทำให้คอมพ์เกิดอาการรวน แฮงก์ เดี้ยง หรืออืดนั้น มาจากซอฟต์แวร์ ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์อย่างที่หลายคนเข้าใจ และกว่า 50% ของปัญหาที่เกิดจากซอฟต์แวร์นั้นมาจากการที่ผู้ใช้ทำการติดตั้งโปรกแกรมเอาไว้มากเกินไป และมีโปรแกรมที่ทำงานซ้ำซ้อนกันหลายตัว
เริ่มสำรวจด่วนเลยครับ ว่าปัญหาของเราเข้าข่ายนั้นหรือเปล่า? โดยกดคลิ้กเข้าไปที่ Control Panel และไปตรวจสอบที่ Add or Remove Programs ว่าเรานั้นได้ทำการ Install โปรแกรมต่างๆ ไว้เกินความจำเป็นหรือไม่? มีโปรแกรมอะไรบ้างที่ทำงานซ้ำซ้อนกัน มีโปรแกรมประเภท Media Player ทั้งหลายนี้แหละครับ ไม่ว่าจะเป็น RealPlayer, Quicktime, iTunes, WinAmp หรือแม้แต่ WinDVD กับ PowerDVD เองก็ตาม โปรแกรมเหล่านี้มักมีความสามารถเหมือนๆ กัน มีความแตกต่างกันในความสามารถที่จะรองรับไฟล์เฉพาะบางตัว จึงทำให้หลายคนต้องลงโปรแกรมเหล่านี้ลงไปในคอมพิวเตอร์พร้อมกัน
ไฟล์นามสกุล rm, rmvb, mov, avi, divx, wmv และ mpeg ถือเป็นฟอร์แมตมาตรฐานสำหรับไฟล์วีดีโอในปัจจุบัน โดยเฉพาะ avi และ divx ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อย่างที่กล่าวมาข้างต้นครับ โดยปกติหากต้องการให้เครื่องของเรานั้นสามารถเล่นไฟล์วีดีโอเหล่านี้ให้ได้ครบทุกตัว อาจต้องลงโปรแกรมถึง 4-5 ตัวทีเดียว อันที่จริงหากเราลอง Search ดูจากในอินเทอร์เน็ตจะพบว่าเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะจะมีโปรแกรมบางตัวที่เราอาจไม่คุ้นหูนักสามารถรองรับไฟล์เหล่านี้ได้ครบถ้วนแถมยังฟรีอีกต่างหาก อย่างโปรแกรม K-Lite Codec Pack (http://www.free-codecs.com/) ที่ได้มีการรวบรวม codec สำหรับไฟล์มีเดียต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลกไว้อย่างครบถ้วน แถมยังมีตัว Media Player Classic เอาไว้สำหรับเล่นไฟล์มีเดียเหล่านั้นอีกด้วย เรียกว่าลงโปรแกรมเดียว รองรับไฟล์มีเดียได้ครบทุกฟอร์แมตกันเลย
ย้อนกลับมาที่โปรแกรมพื้นฐานของระบบปฏิบัติการวินโดวส์อย่าง Windows Media Player กันบ้าง ซึ่งหลายคนละเลยที่จะทำความรู้จักกับโปรแกรมตัวนี้ ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพด้อยไปกว่าโปรแกรม Media Player อื่นๆ เลยโดยเฉพาะในเวอร์ชันล่าสุด WindowsMediaPlayer11 (www.microsoft.com/Windows/windowsmedia/player/11/default.aspx) ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากไมโครซอฟท์ ได้มีการพัฒนาขึ้นมามาก มีความสามารถในการเล่นภาพยนตร์จาก CD/DVD ได้ไม่น้อยหน้า PowerDVD หรือ WinDVD
ส่วนในการเล่นไฟล์เพลงอย่าง MP3 ยอดนิยมนั้น ก็ทำได้ไม่แพ้ iTunes และอาจเรียกได้ว่าดีกว่า WinAmp แล้วด้วยซ้ำไป ซึ่งถือว่า Windows Media Player 11 เป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ ที่จะเลือกไว้เป็นโปรแกรมสำหรับเล่นภาพยนตร์จากแผ่น CD/DVD และเล่นไฟล์เพลงดิจิตอลบนคอมพ์ของคุณโดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมอื่นให้เสียเวลา
ยังมีโปรแกรมอีกหลายตัวที่หลายคนนิยมติดตั้งไว้ในคอมพ์และทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน อย่างโปรแกรมประเภทบีบอัดไฟล์ ที่เมื่อพูดถึงทุกคนมักนึกถึง WinZip แต่ปัจจุบันหากใครเป็นเซียนดาวน์โหลดสักหน่อย จะพบว่าอีกฟอร์แมตที่มักได้รับความนิยมคือ .rar ซึ่งก็ไม่ใช่ฟอร์แมตอะไร โปรมแกรมที่สามารถใช้เปิดไฟล์นามสกุลนี้ได้คือ WinRAR และหากมองดูในความสามารถกันจริง ๆ WinZip และ WinRAR ต่างทำหน้าที่เหมือนกันคือ บีบอัด และคลายไฟล์ ต่างกันเพียงความสามารถในการรองรับไฟล์ฟอร์แมตเท่านั้นเอง
คำแนะนำจากผมคือ ให้เลือกติดตั้งเพียงตัวเดียว คุณจะพบว่าหน้าต่างของ context menus เวลาที่คลิ้กขวาจะมีทั้งฟังก์ชันจาก WinZip และ WinRAR (http://www.rarlab.com/) นั่นเอง สาเหตุเพราะมันรองได้ฟอร์แมตได้ทุกตัวที่ Winzip สามารถรองรับได้แถมยังรองรับได้มากกว่าอีกด้วย นี่เป็นเพียงตัวหลักๆ เท่านั้นนะครับ อย่าลืมสำรวจดูในคอมพ์ของคุณก็แล้วกันว่า เราได้ติดตั้งโปรแกรมอะไรลงไปแล้วไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือได้ติดตั้งลงไปหลายตัวและมีการทำงานที่คล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกันหรือไม่? เลือกที่จะลบออกไปบ้าง จะทำให้เนื้อที่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณเพิ่มขึ้น รวมถึงเครื่องก็จะมีเสถียรภาพและความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้นด้วยครับหากพูดถึงการจัดระเบียบฮาร์ดดิสก์เชื่อว่าหลายคนจะนึกถึงการใช้ยูทิลิตี้ที่ชื่อว่า Disk Defragmenter ที่มาพร้อมกับตัวระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งนั้นก็ถือว่าเป็นวิธีที่ใช้จัดระเบียบฮาร์ดดิสก์ที่ดีและควรทำวิธีหนึ่งเช่นกัน และผมแนะนำให้ทำอย่างน้อยเดือนละครั้งครับ แต่ครั้งนี้ผมจะไม่พูดถึงเฉพาะการทำDisk Defragment เท่านั้นนะครับ เพราะการจัดระเบียบให้กับฮาร์ดดิสก์เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานนั้น ยังมีอะไรนอกเหนือจากนั้นอีก เริ่มต้นตั้งแต่คุณได้ซื้อฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่กันเลยทีเดียว
ในปัจจุบันขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก แถมราคาก็ถูกลง จะเห็นได้ว่าในท้องตลาดตอนนี้ขนาดความจุต่ำสุดจะเริ่มต้นที่ประมาณ 80 กิกะไบต์ หรือ 100 กิกะไบต์กันแล้วโดยเฉพาะผู้ที่ซื้อมาเพื่อทำการอัพเกรดคอมพ์ตัวเก่านั้น หลายคนไม่ได้ทำการถอดเอาฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าทิ้งไป หากแต่ติดตั้งฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่ลงไปให้ทำงานคู่กันกับตัวเก่าเลย
คำแนะนำในการติดตั้งของผมก็คือ ให้ติดตั้งฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่เป็น Master และให้นำตัวเก่ามาทำเป็น Slave โดยให้ทำการฟอร์แมตระบบปฏิบัติการวินโดวส์ในลูกเก่าออกเสียและติดตั้งใหม่ลงบนฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่แทน อีกสิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาด ก็คือการแบ่งพาร์ทิชันให้กับฮาร์ดดิสก์ของคุณ
ส่วนระบบ Files System นั้น ผมแนะนำให้ใช้ NTFS แทน FAT32 เพราะในการทำงานกับฮาร์ดดิสก์ความจุสูง ๆ NTFS นั้นจะทำงานได้รวดเร็วกว่าแบบ NTFS นั้นจะทำงานได้รวดเร็วกว่าแบบ FAT32 ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ พร้อมกันยังมีระบบการทำงานที่ดีกว่า อาทิการรองรับขนาดของไฟล์ได้สูงสุดที่16 TB (16,000 กิกะไบต์) ขณะที่ FAT32 นั้นรองรับสูงสุดเพียง 2 กิกะไบต์เท่านั้น (ลองนึกถึงการทำอิมเมจของไฟล์ภาพยนตร์ดีวีดีสักหนึ่งแผ่นที่ปกติจะมีขนาดประมาณ 3-4 กิกะไบต์ ถ้าเป็นบนระบบ FAT32 จะไม่สามารถทำได้เพราะระบบ FAT32 จะไม่รองรับไฟล์ที่มีขนาดสูงกว่า 2 กิกะไบต์ ในขณะที่ NTFS นั้นทำได้สบายๆ ครับ) และ NTFS ยังมีอัตราการสูญเสียเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์ไปอย่างเปล่าประโยชน์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ Cluster Size นั้นน้อยกว่า FAT32 มากทีเดียว เมื่อใช้กับพาร์ทิชันที่มีขนาดสูงกว่า 8 กิกะไบต์
สำหรับผู้ที่ใช้ระบบ Files System แบบ FAT32 อยู่ขณะนี้ แล้วไม่อยากจะฟอร์แมตใหม่เพื่อเปลี่ยนระบบ Files System ให้เป็น NTFS ผมก็มีวิธีนำมาเสนออย่างง่าย ๆ นะครับ โดยให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
- กดคลิ้กที่ Start เลือกไปที่ Run แล้วพิมพ์คำว่า cmd และกด Enter จากนั้นจะมีหน้าต่าง Dos ขึ้นมา- ให้พิมพ์ cd\ และกด Enter ก่อน เพื่อเคลียร์ Directory ไป จากนั้นพิมพ์คำว่า CONVERT ไดรฟ์ที่ต้องการแปลง /FS:NTFS ครับ สมมติผมต้องการจะแปลงไดรฟ์ C: ให้เป็น NTFS ผมก็จะพิมพ์ว่า CONVERT C:/FS:NTFS และกด Enter ครับ- ลำดับต่อไปก็จะให้ใส่ Volume Lable ของไดรฟ์นั้นๆ ที่เราต้องการจะ Convert ซึ่งเราสามารถดูได้จากการพิมพ์ dir/w ครับ- เมื่อใส่ Volume Label ลงไปก็ให้กด Enter หลังจากนั้นก็จะมีคำถามขึ้นมาเพื่อยืนยันการแปลงระบบ ให้เราตอบ Y ไป เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ* อย่าลืมที่จะเก็บข้อมูลสำคัญๆ ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงระบบ Files System ไม่สมบูรณ์ จะพาลให้ข้อมูลเสียหาย จนอาจจะถึงขั้นต้องฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์เลยนะครับ

How อินเตอร์เน็ตผ่านมือถือแบบ GPRS โดยใช้อุปกรณ์ Bluetooth

การต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านมือถือแบบ GPRS โดยใช้อุปกรณ์ Bluetooth
อินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านมือถือด้วยระบบ GPRS ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของการใช้งานอินเตอร์เน็ต เพราะว่า ในช่วงนี้ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือหลาย ๆ ค่าย ก็มีการทำโปรโมชั่นด้านราคา ออกมาค่อนข้างน่าใช้งานมาก โดยมีราคาถูกลงกว่าเดิมมาก และยิ่งถ้านับเรื่องความสะดวก สำหรับผู้ที่ต้องการ ใช้งานอินเตอร์เน็ตนอกสถานที่ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจมาก

ในที่นี้ จะขอแนะนำการต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน bluetooth โดยอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทดสอบคือ Bluetooth แบบ USB ของ CSR USB Bluetooth และโทรศัพท์มือถือ Sony Ericsson รุ่น T610 โดย SIM ของมือถือที่จะใช้งาน ต้องผ่านการเปิดใช้บริการ GPRS และตั้งค่าใช้งาน GPRS บนเครื่องโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถดูวิธีการตั้งค่าจากระบบต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ระบบ AIS- ระบบ DTAC- ระบบ Orange
หรือจะโทรสอบถามจาก call center ของแต่ละระบบก็ได้
การเชื่อมต่ออุปกรณ์ 2 ชิ้นเข้าด้วยกันเพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth นั้น เราสามารถเลือกใช้บริการต่าง ๆ ได้หลายอย่าง เช่น การรับ-ส่งไฟล์ ระหว่างกัน การจำลองให้เป็น Serial Port หรือการเชื่อมต่อเพื่อแชร์เน็ตก็ได้ แต่ในที่นี้ จะขอแนะนำ แค่เพียง การนำเอาระบบ Bluetooth มาเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้เล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ เท่านั้นครับ
ขั้นตอนหลักใหญ่ ๆ ในการเซ็ตค่าต่าง ๆ ให้เล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ
1. เปิดการใช้งานระบบ GPRS ของมือถือก่อน และเซ็ตค่าสำหรับ GPRS ในเครื่องโทรศัพท์ให้เรียบร้อย2. ลง Driver ของ USB Bluetooth และเปิดใช้งาน Service ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Dial-Up Networking3. ทำการจับคู่หรือ Pairing ระหว่างมือถือและ PC ให้ทั้งสองรู้จักกันได้4. สร้าง Dial-Up Connection สำหรับใช้ต่ออินเตอร์เน็ต5. เรียกใช้งานผ่าน Dial-Up Connection ได้เลย
เริ่มต้นการติดตั้ง driver และลง software ที่จำเป็นสำหรับ Bluetooth ก่อน
ก่อนอื่น ก็ต้องทำการลง driver ของ Bluetooth ก่อน ซึ่งขั้นตอนการลง driver อาจจะแตกต่างกันไปจากนี้ ตามแต่ละยี่ห้อ แต่คิดว่า คงจะไม่ต่างกันมากนัก เริ่มจาก การเสียบ USB Bluetooth ในเครื่อง และเรียกไฟล์ setup สำหรับลง driver จากแผ่นซีดีที่แถมมา
เลือกที่ Install Driver and Application และกด OK ครับ
ขั้นตอนการลง driver และ software ก็ทำไปตามปกติ กดที่ Next ไปเรื่อย ๆ ได้เลย
ทำการลง driver ไปจนเสร็จถึง Finish ครับ
หลังจากลง driver เรียบร้อยแล้ว ก็เป็นการเซ็ตอัพบริการต่าง ๆ บนเครื่อง โดยโปรแกรมจะเรียก Bluetooth Configuration Wizard ขึ้นมา เพื่อทำการเซ็ตค่าของบริการและทำการจับคู่หรือ Paring กับอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อให้อุปกรณ์ สามารถรู้จัก และรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้ ถ้าไม่มีเมนูหน้าจอนี้ ก็ลองค้นหาดูจาก Program Menu ว่ามีโปรแกรมหรือ software อะไรทำนองนี้อยู่บ้าง
ต่อไป ก็จะเป็นการเซ็ตค่าต่าง ๆ ของอุปกรณ์อัตโนมัติ กดที่ Next เพื่อเซ็ตค่าต่อไป
เครื่องจะตั้งชื่อ computer name ตามที่เราเคยใส่ไว้ ถ้าไม่ต้องการเปลี่ยน ก็กดที่ปุ่ม Next
หน้านี้ จะเป็นการเลือกว่าเราต้องการใช้บริการอะไรจาก Bluetooth ในเครื่องบ้าง อย่างที่ได้บอกแต่ต้นแล้ว ว่าระบบ Bluetooth สามารถมีบริการให้เลือกใช้งานได้หลายอย่าง ตรงนี้เราก็เลือกทุกอย่าง แล้วกด Next ต่อไป
ถึงตรงนี้ จะเป็นการเซ็ตให้เครื่อง PC รู้จักกับ โทรศัพท์มือถือ หรือที่เรียกว่า Pairing หรือการจับคู่ระหว่างอุปกรณ์ เพื่อให้อุปกรณ์ทั้ง 2 ชนิด มองเห็นกันและใช้งานร่วมกันได้ ถึงตรงนี้ ให้เราทำการเปิดการใช้งาน Bluetooth ที่เครื่องโทรศัพท์ไว้ เพื่อให้ระบบสามารถค้นหาได้พบ และกดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการตั้งค่าต่อไป
รอสักครู่ ระบบจะทำการค้นหาอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน เอาเมาส์กดเลือกที่อุปกรณ์ (เช่น จากตัวอย่างคือ T610) และกดที่ปุ่ม Next
จากนั้น จะเป็นการทำ Pairing หรือการจับคู่ระหว่าง 2 อุปกรณ์ โดยก่อนที่จะทำการจับคู่ได้นั้น จะต้องมีการยืนยันรหัสผ่านหรือ PIN Code ก่อน ซึ่งเราจะตั้งรหัสตรงนี้เป็นเลขอะไรก็ได้ (ตั้งเป็นตัวเลขนะครับ) เมื่อใส่ Pin Code ที่ตั้งขึ้นมามาแล้ว กดที่ปุ่ม Initiate Paring เพื่อทำการจับคู่ให้สำเร็จก่อน
ที่เครื่องโทรศัพท์ ก็จะมีเมนูของการทำ Paring หรือจับคู่ หรืออาจจะเป็นคำว่า "เพิ่มอุปกรณ์ของฉัน" ทำนองนี้ ให้ใส่รหัสยืนยัน PIN Code ที่เราตั้งไว้ให้ตรงกัน แค่นี้ก็เสร็จแล้ว

เมื่อเราสามารถทำการ Paring ได้เรียบร้อยแล้ว ก็มาเลือกว่า จะใช้บริการอะไรบ้าง ตรงนี้ อย่างที่บอกว่า จะขอแนะนำเฉพาะการต่ออินเตอร์เน็ตผ่านมือถือเท่านั้น ก็ให้เลือกที่บริการ Dial-up Networking
เมื่อเลือกที่บริการ Dial-up Networking แล้ว อาจจะมีเมนูให้ทำการตั้งค่าระบบ ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรมาก กดปุ่ม OK ไปเลย
ถึงตรงนี้ ก็เป็นอันเสร็จแล้วครับ ถ้าไม่มีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จะมา Paring ก็กดที่ปุ่ม Skip เพื่อจบขั้นตอนการเซ็ตค่าได้เลย
ตรงนี้ก็ถือว่า ขั้นตอนการลง driver และเซ็ตระบบต่าง ๆ ก็เสร็จเรียบร้อยครับ กดที่ปุ่ม Finish
การตั้งค่าของโมเด็มเพิ่มเติม ก่อนการใช้งานอินเตอร์เน็ต GPRS ผ่าน Bluetooth
ถึงตรงนี้ เราก็พร้อมที่จะใช้งาน Modem ผ่าน Bluetooth ได้แล้ว ซึ่งในกรณีที่เราตั้งค่าต่าง ๆ ตามด้านบนเรียบร้อยแล้ว ให้ทดลองต่อเข้าอินเตอร์เน็ตดูก่อน
การเริ่มต้นเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย Dial-up Network Connection
หลังจากที่ทำการตั้งค่าต่าง ๆ แล้ว เมื่อเข้ามาที่หน้า Dial-up Network Connections ก็จะเห็นว่า มีรายการ Dial-up เพิ่มขึ้นมาอีก 1 อันคือ Bluetooth Connection ซึ่งก็จะเหมือนกับ Dial-up ทั่ว ๆ ไปนั่นเอง
สำหรับบางเครื่องหรือ Bluetooth บางยี่ห้อ ถ้าหากไม่มี Dial-up ตัวใหม่เพิ่มมา อาจจะทดลองสร้าง Dial-up Connection ขึ้นมาเองก็ได้ โดยให้ทำเหมือนกับการสร้างจากโมเด็มธรรมดา แต่แทนที่จะเลือกโมเด็มตัวเดิม ก็เปลี่ยนมาใช้ Bluetooth Modem แทน และถ้าหากท่านไม่พบว่ามี Bluetooth Modem เพิ่มขึ้นมา ให้ลองตรวจสอบดูว่า ได้เปิดบริการของ Dial-up Networking ของ Bluetooth ไว้แล้วหรือยังก่อน
ลองกดเมาส์ขวาที่ Dial-up ของ Bluetooth Connection และเลือกที่ Properties
หน้าตา ก็เหมือนกับ Dial-up ทั่วไปนั่นแหละครับ แต่ตรงเบอร์โทร Phone number แทนที่จะใส่เป็น เบอร์สำหรับ การเชื่อมต่อ ของอินเตอร์เน็ตทั่วไป ก็ต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่แบบ GPRS ซึ่งสามารถหาข้อมูลเบอร์นี้ได้จากเว็บไซต์ของมือถือแต่ละค่าย หรือโทรสอบถามจาก call center ของมือถือได้เลย โดยคร่าว ๆ ที่ทราบมาจะใช้เบอร์ดังนี้
Orange = *99# AIS = *99***1# DTAC = *99#
หลังจากใส่เบอร์แล้วก็กด OK
เสร็จแล้ว เมื่อต้องการจะต่ออินเตอร์เน็ต ก็เรียกที่ Dial-up Connection เหมือนกับการต่อเน็ตทั่วไป
ในกรณีระบบ GPRS ของโทรศัพท์ Orange จะต้องใส่ user และ password เป็นคำว่า orange ด้วย แต่ GPRS ของ AIS หรือ DTAC ไม่ต้องใส่ ให้เว้นว่างไว้ และกดที่ปุ่ม Dial เพื่อเริ่มต้นการต่อเน็ต
หน้าจอการเชื่อมต่อเน็ต ก็จะคล้าย ๆ กับการต่อเน็ตธรรมดานั่นแหละ
รอสักพักนึง เมื่อต่อได้เรียบร้อยแล้ว ลองกดดูการเชื่อมต่อครับ จะได้รายละเอียดดังรูปข้างบนนี้
ทดลองเข้าเว็บ ดู
ความเร็วที่ได้จากการต่ออินเตอร์เน็ตแบบ GPRS
ทีนี้ หลายคนคงสงสัยว่า การต่อเน็ตผ่าน GPRS นี้ จะได้ความเร็วเท่าไรกันแน่ เอาเป็นว่า ผมไม่มีข้อมูลแบบละเอียดของระบบ GPRS นะครับ ว่าความเร็วแบ่งออกเป็นเท่าไรบ้าง แต่ขอบอกว่า ความเร็วของการเชื่อมต่อแบบนี้ จะได้ประมาณ เทียบเท่ากับโมเด็ม 56k โดยประมาณ โดยความเร็ว อาจจะช้าหรือเร็วกว่านี้ ขึ้นอยู่กับ จำนวนคนที่ใช้งานข้อมูล พร้อม ๆ กันในขณะนั้น และขึ้นอยู่กับ รุ่นของโทรศัพท์มือถือ ว่ารองรับ GPRS ใน Class ไหนได้บ้าง ถ้าเป็นมือถือรุ่นใหม่ ๆ ความเร็วสูงสุด จะมากกว่ารุ่นเก่า ๆ ลองดูกันเด้อ

Pocket PC - Pocket PC Phone Edition - Smartphone แบบ Windows Mobile


มารู้จัก Windows Mobile ทั้ง Pocket PC และ Smartphone กันดีกว่าสำหรับเครื่อง PDA ในท้องตลาดปัจจุบันนี้เราจะมีค่ายให้เลือกหลักคือ 2 ค่าย คือ Palm และ Pocket PC ซึ่งในปัจจุบันยังมีพวกลูกผสมตามออกมาอีกเยอะแยะไปหมด ดังนั้นผมขอแยกอุปกรณ์พวกนี้ออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆก่อนดีกว่าเพื่อจะได้ไม่สับสน1. กลุ่มแรก คือ PDA หรือ Personal Digital Assistant ซึ่งจะเรียกง่ายๆว่า PDA นั่นก็คือคอมพิวเตอร์มือถือแบบพกพาขนาดเล็กซึ่งในกลุ่มนี้จะมีสองค่ายหลักเป็นตัวชูโรงคือ Pocket PC กับ Palm สองค่ายนี้เขาสู้กันแบบถึงพริกถึงขิงกันมาตลอดสี่ปีกว่าที่ผ่านมา อุปกรณ์กลุ่มนี้จะใช้งานด้านพวกเก็บข้อมูลเป็นหลัก2.กลุ่มที่สอง คือ PDA Phone ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่อง PDA ที่มีโทตรศัพท์ในตัว สามารถใช้งานการควบคุมด้วย Stylus เหมือนกับ PDA ทุกประการ การใช้งานทั่วไปเหมือนกับ PDA ในกลุ่มแรกเป๊ะเพียงแต่ใช้เป็นโทรศัพท์ได้ด้วย ซึ่งกลุ่มนี้จะมีหลักๆ อยู่สามค่าย คือ Pocket PC Phone Edition ( เช่น XDA O2 II , HP 6365 , Dallab ) , Palm OS ( Treo 600 , Xplore G88 ,Xplore m28 ) , Symbian ( Sony Ericsson P910 , P900 ) โดยส่วนมาก Symbian ไม่ค่อยหันมาตลาดกลุ่มนี้เท่าไรนัก3.กลุ่มที่สาม คือ Smart Phone หรือโทรศัพท์ที่ฉลาดกว่าโทรศัพท์มือถือธรรมดาเพราะมีการบรรจุเอาลูกเล่นของ PDA แบบกลายๆเข้าไปในตัวโทรศัพท์แบบนี้ ซึ่งข้อจำกัดของ Smart Phone ก็คือไม่มี Stylus ในการทำงานแต่สามารถลงโปรแกรมเพิ่มเติมแบบ PDA และ PDA phone ได้ ข้อดีของอุปกรณ์กลุ่มนี้คือมีขนาดเล็กพกพาสะดวกประหยัดไฟ ราคาไม่แพงมากนักWindows Mobile คืออะไรเอ่ย?ผมว่าเราๆท่านๆหลายคนต้องเคยได้ยินคำว่า Windows Mobile แน่ๆ ซึ่งความหมายง่ายๆมันก็คือชื่อ Brand ของระบบปฎิบัติการของทาง Microsoft เขานั่นหละครับแต่จะใช้กับพวกอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กทั้งหลาย ซึ่งเป็นระบบปฎิบัติการขั้นสูงของ MS เขาซึ่งเมื่อก่อนจะใช้เป็นพวก Windows CE ซึ่ง Windows Mobile นั้นจะต่างกับระบบปฎิบัติการ WIndows ที่เราใช้ๆกันอยู่นิดหน่อย คือว่าระบบนี้เขาจะมาพร้อมกับอุปกรณ์ PDA หรือ PDA Phone รวมถึง Smartphone เวลาที่เราซื้อเครื่องมันจะติดตั้งมาใน Rom ให้เสร็จสรรพ หากมีปัญหาก็ไม่ต้อง Format แล้วลงใหม่เหมือนกับ WIndows ตามบ้านแค่ Hard reset ข้อมูลก็ล้างทิ้งเรียบร้อยแล้ว แล้วระบบดังกล่าวนี้ทาง MS เขาจะขาย License ให้กับผู้ผลิตเครื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็น HP , Toshiba และอีกสารพัดหากใครต้องการ และ MS ก็อย่างที่ทราบๆกันว่าไหนๆจะทำแล้วเล็กๆไม่ทำอย่างแน่นอน ทาง MS เลยรวบหัวรวบหางทำระบบปฎิบัติการสำหรับเครื่องทั้งสามกลุ่ม ซึ่งระบบปฎิบัติการ Windows Mobile เลยจะครอบคลุมอุปกรณ์สามกลุ่มหลักใหญ่ๆ


- Pocket PC ซึ่งเป็นอุปกรณ์ PDA จุดประสงค์การใช้งานเพื่อเก็บข้อมูลเยอะๆหน้าจอใหญ่ๆการทำงานใช้ Stylus ควบคุมเพราะหน้าจอเป็น Touch Screen และที่สำคัญต้องเป็นจอสีด้วยนะ สมัยนี้หาจอขาวดำคงจะยากแล้วหละครับ ทำออกมาคงเอาไปถมที่แน่ๆเพราะไม่มีใครซื้อ สำหรับเครื่อง Pocket PC นั้นจะสามารถต่อ Net ได้โดยผ่านโทรศัพท์มือถือทั้งแบบผ่าน IR และ Bluetooth สามารถต่ออุปกรณ์เสริมได้สารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะแบบ SD หรือ CF ซึ่งเครื่องในกลุ่มนี้จะมีราคาเครื่องตั้งแต่พันปลายๆจนไปถึง สองหมื่นต้นๆ ความสามารถของเครื่อง PDA ในแบบ Pocket PC นั้นเขาจะบรรจุความสามารถของอุปกรณ์กลุ่มนี้ไว้เต็มที่ เครื่องในกลุ่ม PDA Phone และ Smartphone ไม่สามารถสู้ได้ครับ เช่นใน HP iPAQ hx4700 นั้น มีหน้าจอใหญ่ จอ VGA และมี NAV Mode ควบคุมการทำงานมี Slot ให้สองอัน สุดยอดครับ!!!


-Pocket PC Phone Edition เป็นอีกกลุ่มหนึ่งในตระกูล Windows Mobile โดยเครื่องในกลุ่มนี้ก็คือ PDA ที่ใช้ Pocket PC ดีๆนี่เอง เพียงแต่ว่าเขาใส่การใช้งานด้านโทรศัพทืเข้าไปด้วย โดยจะมี Software เพิ่มเข้ามาในการทำงานต่างๆทั้งการจัดการด้านโทรศัพท์ เช่นเปลี่ยนเสียงเรียกเข้า โชว์หน้าคนโทรเข้า และอีกสารพัด ซึ่งข้อดีสำหรับอุปกรณ์กลุ่มนี้อีกหนึ่งอย่างคือมันสามารถต่อ Internet ได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องไปอาศัยหาโทรศัพท์มือถืออีกหนึ่งเคตรื่องมาช่วยในการทำงานแอย่างใด ซึ่งเครื่อง Pocket PC Phone เกือบทุกรุ่นจะมาพร้อมกับการใช้งานด้าน GPRS อยู่แล้วดังนั้นการใช้งานเข้า Net ก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย แตะๆแล้วลุยได้เลย ยิ่งโทรศัพท์แบบ Pocket PC Phoneสมัยใหม่มันก็มีลูกเล่นมาให้เกือบครบ ทั้ง Bluetooth , Wi-Fi และกล้องดิจิตอล ข้อเสียของเครื่องในกลุ่มนี้เห็นจะมีอยู่เพียงสองอย่างคือ เครื่องส่วนมากจะมีมาให้เพียง 1 Slot เท่านั้นที่เป็น SD และตัวเครื่องราคาจะค่อนข้างแพงกว่ากลุ่มอื่นๆ


- SmartPhone เป็นระบบปฎิบัติการที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือที่มีความแตกต่างกับโทรศัพท์มือถือทั่วๆไปคือ สามารถลงโปรแกรมเพิ่มได้ มีฟังค์ชั่นการใช้งานคล้ายกับ Pocket PC และ Pocket PC Phone Edition ซึ่งกลุ่มของ Smartphone นั้นจะยังคงสามารถ Sync กับ PC ได้ด้วยโปรแกรม Active Sync แต่ว่าเครื่องในกลุ่มนี้เขาไม่ได้เน้นความเป็น PDA มากมายอะไรนักสำหรับผู้ใช้ที่ไม่เคยใช้ PDA มาก่อนรับรองว่าชอบแน่ แต่หากใครเคยใช้ PDA มาก่อนรับรองว่าอึดอัดแน่ เพราะว่าหน้าจอของโทรศัพท์แบบ Smartphone นี้จะมีหน้าจอที่มีขนาดเล็กอาจจะใหญ่กว่าโทรศัพท์มือถือทั่วไปนิดหน่อย แต่ไม่สามารถใช้ Stylus ควบคุมการทำงานได้เพราะว่าไม่ได้ใช้หน้าจอ Touch Screen ดังนั้นเวลาเปิด Application ขึ้นมาพร้อมๆกันหลายๆอันทำให้ปิดได้ลำบากเพราะต้องกดจากแป้นปุ่มโทรศัพท์เท่านั้น จุดประสงค์ของกลุ่มนี้คือเพียงเป็นการใช้งานแบบ PDA แบบลดรูปลงมาใส่ในโทรศัพท์เท่านั้น
เลือกแบบไหนให้เหมาะกับตนเอง?หากเราปักใจมาเป็นสาวก Windows Mobile แล้วก็ลองมาเลือกดูนะครับว่าจะเลือกอุปกรณ์แบบใดให้เหมาะสมกับตนเองดีนะ 1. หากคิดจะซื้อ Pocket PC หากเรามีโทรศัพท์มือถืออยู่แล้วหนึ่งเครื่องและไม่คิดอยากจะเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือใหม่ พร้อมกับอยากเพิ่มการใช้งานให้กับตนเองเพราะโทรศัพท์มือถือมันไม่สามารถเก็บข้อมูลหรือรูปภาพอะไรได้มากนักดังนั้นหากจะขยายขีดความสามารถให้กับตนเองในการบริหารชิวิตให้ง่ายขึ้น เราคงต้องเริ่มมองหา Pocket PC สักเครื่องหนึ่งซึ่งในปัจจุบันจะมีราคาตั้งแต่ประมาณ 9 พันไปถึง 2 หมื่นกว่า ซึ่งความเร็วในการทำงานของเครื่องราคาถูกและแพงไม่ต่างกันเท่าไรครับ เพียงแต่ว่าลูกเล่นมากน้อยต่างกันเท่านั้นเอง Pocket PC ที่เป็นแบบ PDA เพียงๆนั้นเหมาะวสำหรับผู้ที่มีข้อมูลเยอะๆในการจัดเก็บ ภาพ และต้องการความบันเทิงไว้ดูส่วนตัวยามว่าง ด้วยหน้าจอเครื่องขนาดใหญ่ๆ แต่ยังสามารถใส่กระเป๋าเสื้อได้ไม่ยากนัก มีการใช้งานทั้ง Word และ Excel แบบเต็มรูปแบบดูสบายตา Pocket PC สมัยนี้ผมต้องบอกไว้สักหน่อยว่าเด๋ยวนี้มันฉลาดขึ้นเยอะ สามารถต่อ Bluetooth และ Wi-Fi กับระบบที่เรามีอยู่ได้สบายมาก ดังนั้นหากคิดจะซื้อเครื่อง PDA ในแบบ Pocket PC แล้วก็ควรจะมีข้อสัญญากับตัวเองสักหน่อยว่า โทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่นั้นมันเพียงพอกับความต้องการแล้ว มีระบบรองรับการต่อ Net ผ่าน GPRS ร่วมกับอุปกรณ์อื่นทั้งผ่าน อินฟราเรด หรือ Bluetooth ซึ่งคงจะไม่เปลี่ยนมือถือไปใช้รุ่นอื่น เพราะหากจะไปซื้อมือถือดีๆสักเครื่อง + กับ Pocket PC อีกสักตัวผมว่างบบานตะไท แน่ๆ นอกเสียจากเราจะเป็นผู้ที่ชอบพกอุปกรณ์แยกชิ้นกันเพื่อความสะดวกในการพกพาเท่านั้นเอง2. หากคิดจะซื้อ Pocket PC Phone Edition
เมื่อก่อนมีแต่คนบอกว่าซื้อยแกดีกว่าซื้ออุปกรรืตัวเดียวกันเพราะว่าเวลาแบตเตอรี่หมดก็อดใช้งานทั้งสองอย่าง ผมว่ายุคนี้เราคงต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่แล้วนะครับเพราะว่า Pocket PC Phone สมัยนี้แบตเตอรี่มันอึดจนน่าตกใจ เช่น HP iPAQ6365 ผมว่าแบตเตอรี่มันอึกยิ่งกว่า Pocket PC เดี่ยวๆบางรุ่นเสียอีกดังนั้นหากคิดจะซื้อ Pocket PC Phoneมาใช้ก็ควรจะถามตัวเองสักนิดว่า ตัวเราจัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่พอใจชอบการใช้งาน PDA แบบ Pocket PC เป็นทุนเดิมหรือไม่ ? เพียงแต่ต้องการเครื่องที่มันสามารถต่อ Net ได้ง่ายๆ แตะ ปุ๊ปต่อ Net ได้ทันที หากคำตอบคือใช่! ก็ลองเลือก Pocket PC Phoneมาใช้ได้เลยครับ ข้อจำกัดของ Pocket PC Phone ก็คือเครื่องจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ พกพาลำบาก หากลองเทียบว่าเราซื้อโทรศัพท์ Nokia รุ่นเล็กๆสักตัว + Pocket PC บางๆสักเครื่องอย่าง h4150 ซึ่งอุปกรณ์สองชิ้นรวมกันยังรู้สึกว่าพกพาง่ายกว่า XDA O2 II หรือ iPAQ 6365 แต่หากไม่ได้แคร์เรื่องนี้ผมว่ายุคนี้อุปกรณ์แบบ All in one น่าสนใจครับ ส่วนข้อเสียข้อสุดท้ายก็คือ ราคา ครับเครื่อง Pocket PC Phone นั้นราคาจะค่อนข้างสูงกว่าเครื่องในกลุ่มอื่นๆ
3.หากคิดจะซื้อ Smartphone แบบ Windows Mobile ต้องเล่าให้ฟังกันก่อนว่าระบบปฎิบิการของ Windows Mobile สำหรับในเครื่องกลุ่มโทรศัพท์มือถือนั้นมันไม่ค่อยจะโดดเด่นเท่าไรนัก เพราะตลาดส่วนใหญ่เทไปให้กับ Symbian ซะเยอะ สำหรับกลุ่มผู้ที่จะใช้ Smartphone นั้นเท่าที่ผมสังเกตก็คือกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแบบทั่วไปนี่หละครับเพียงแต่อยากได้โ?รศัพท์รุ่นที่เจ๋งๆแจ๋วๆขึ้นมากว่าโทรศัพท์แบบทั่วไป โยมีฟังค์ชั่นการใช้งานของ PDA รวมมาให้ด้วยในตัว ซึ่งก็ไม่ได้ใช้อะไรมันมากมายเท่าไรนัก หรือใช้กันแบบเป็นจริงเป็นจัง เพราะหากจะใช้กันแบบจริงๆจังๆผมว่าไม่ค่อยเหมาะเพราะสู้ PDA ไม่ได้เลย จุดเด่นของโทรศัพท์แบบ Smartphone ที่ใช้ Windows mobile ก็คือเป็นการใช้งานคล้ายๆกับ Pocket PC สามารถ Sync ข้อมูลกับ PC ได้โดยมีขนาดเครื่องเล็กๆพอๆกับโทรศัพท์ทั่วไปสามารถ ต่อ Net ค้นหาข้อมูลได้ รับส่ง email ได้ ราคาตัวเครื่องไม่แพงจนเกินไป ปัจจุบันตอนที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่ Smart V1 น่าจะเป็นเครื่องแบบ SmartPhone ของ MS ที่ราคาถูกที่สุดคือ 8900 บาท ส่วน MPx220 ของ Motorola ก็น่าสนใจแต่ราคายังไม่กำหนดน่าจะอยู่ประมาณ 2 หมื่นบาท
อย่างไรก็ตามเครื่องทั้งสามกลุ่มนี้ก็สามารถรองรับภาษาไทยครับและยังสามารถลงโปรแกรมเสริมได้อีกสารพัด ยุคของหากคิดจะเทใจให้ Windows Mobile ก็ลองตัดสินใจดูนะครับว่าเราจะเลือกอยู่ในกลุ่มใดของ Windows Mobile จะได้จ่ายเงินเพียงครั้งเดียวไม่ต้องเสียสตางค์เปลี่ยนไปมาสองสามรอบเดี๋ยวจะถอดใจเสียก่อนนะครับ ^___^

เปรียบมวยPDA O2 Stealth ปะทะ Asus p525














จุดเด่นของ O2 Xda Stealth มีดังนี้ครับ
1.หน้าจอขนาดเล็กลงเหลือ 2.4 นิ้วเพื่อความเล็กกระทัดรัดให้กับตัวเครื่องแสดงผลที่ 65,536 สี2.มีปุ่ม 5 ทิศทางด้านหน้า3. ลำโพงและไมโครโฟนแบบ Monophonic 4.ใช้ Mini USB สำหรับการชาร์จไฟ5.กล้อง 2.0 ล้านพิกเซล พร้อม Flash ปรับถ่ายแบบ มาโครได้ในระยะ 10-60 ซม6.มี Wi-Fi +Bluetooth7.Memory 192 MB8. ตัวเครื่องเป็นสีดำ ไม่เปื้อนเวลาใช้งาน9. เครื่องมีปุ่มกดตัวเลข แบบสไลด์เพื่อใช้งาน10. สามารถสไลด์ เพื่อรับสายได้
Spec
หน่วยประมวลผล : 416MHz Intel® PXA272
ระบบปฎิบัติการ : Windows Mobile 5.0 Pocket PC Phone Edition
ระบบโทรศัพท์ Tri band, GSM 900/1800/1900; GPRS Class A/B, Class 10
หน่วยความจำ: 192MB Flash ROM และ 64MB SDRAM
การแสดงผล : 2.4", 240 x 320 pixels, 65,000k TFT
แบตเตอรี่ : 1300 mAh Li-POLYM
กล้อง : 2 ล้านพิกเซล พร้อม ออโต โฟกัส และ แฟลช สามารถถ่ายได้ทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ
การเชื่อมต่อ : WLAN 802.11b, Bluetooth Version 1.2, USB 1.0
ช่อง Slot : min iSD card slot
รูหูฟัง : 2.5mm Audio Jack
ขนาดเครื่อง : 110 x 53 x 22.5 mm , 150g
รูปร่างภายนอก ตัวเครื่องของ O2 Stealth ในรุ่นนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก เน้นการออกแบบให้คล้ายกับหุ่นของโทรศัพท์มือถือ โดยตัวเครื่องภายนอกทำจากพลาสติกสีดำด้านทั้งตัว แต่เวลาจับใช้งานแล้วจะไม่มีรอบนิ้วมือติดเครื่อง จะไม่เหมือนกับ O2 Atom ในรุ่นสีดำเงา ตัวเครื่องดูเหมือนว่าหุ่นมันจะเล็กแต่ในความจริงแล้วตัวเครื่องขนาดความยาวเครื่องจะมีขนาดพอๆกับ PDA Phone รุ่นทั่วๆไป แต่ตัวเครื่องจะค่อนข้างแคบกว่าหน่อย แต่เรื่องของความหนา O2 Stealth จะหุ่นค่อนข้างหนาเพราะว่าตัวเครื่องเป็นแบบ สไลด์จึงทำให้เปลืองพื้นที่ในการจะรักษาหุ่นให้บางค่อนข้างจะทำได้ยากด้านข้าง ทางด้านข้างมาแนวเรียบๆ โดยด้านซ้ายมือจะมีเพียงปุ่มสองปุ่มคือ ปุ่มกล้องกับปุ่ม Jog Wheel ด้านข้างเพื่อให้สำหรับเลื่อนควบคุมระดับเสียงสนทนาเวลาอยู่ในโปรแกรม Phone และยังให้เป็น scroll up และ down สำหรับการเลื่อเพื่อเลือโปรแกรม โดยปุ่มเลื่อนด้านข้างนี้จริงๆไม่ใช่วงล้อเหมือนพวกเครื่อง sony แต่จะมาเพียงแค่สามทิศทางเท่านั้น คือ เลื่อนขึ้นลง และกดเพื่อ ok ส่วนทางด้านขวาตัวเครื่องจะมีเพียงช่อง เสียบหูฟัง และ ช่องเสียบ mini SD โดยจะมีฝายางปิดกันฝุ่นตามสไตล์ของเครื่องจากโรงงาน Gigabyte สำหรับรูหูฟังจะต่างจากแบบหูฟังมาตราฐานทั่วไป เป็นหูฟังที่มี connector แบบเฉพาะของรุ่นนี้เอง ไม่สามารถใช้ร่วมกับหูฟังแบบมีสายของรุ่นอื่นๆได้ ดูภาพด้านข้างชัดๆกันอีกหน่อย สีดำดูทมึนไปทั้งตัว ด้านล่าง และ ด้านบนด้านล่างเป็นรูสำหรับไมโครโฟน รับเสียงและช่องเสียบสาย Mini USB ซึ่งจะเหมือนกับ PDA Phone ยี่ห้ออื่นๆ ซึ่ง connector ชนิดนนี้ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นมาตราฐานไปโดยปริยายแต่ก็ใช้งานได้สะดวกดีครับ ในกล่องจะมีสายน sync มาให้ด้วยเป็นแบบ mini USB ส่วนทางด้านบนสุดตัวเครื่องเป็นปุ่มเปิดปิดตัวเครื่องซึ่งวางตำแหน่งคู่กับช่อง IrDA และนับแต่นี้ไปการส่งข้อมูลทาง IrDA หรือ อินฟราเรดอีกหน่อยก็คงจะต้องตกยุคไปแล้วเพราะยุคนี้จะใช้ Bluetooth และ Wi-Fi โอนถ่ายข้อมูลแทนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้านหลังด้านหลังเป็นช่องลำโพงซึ่งจากการทดสอบใช้งานผมว่าลำโพงของเครื่องรุ่นนี้ดังสนั่นหวั่นไหวจริงๆครับ เสียงเรียกเข้าหรือเสียงเตือนต่างๆดังกระหึ่มมากครับ ในบริเวณด้านหลังนี้จะมีกล้องขนาด 2 ล้านพิกเซลพร้อม Flash มาให้ด้วย แต่การออกแบบในส่วนด้านหลังผมว่าไม่ค่อยสวยเท่าไรนักเป็นพลาสติกใสๆมาครอบไว้ซึ่งทำให้เครื่องดูหมดราคาไปพอสมควน ส่วน Flash ในเครื่องรุ่นนี้ยังทำหน้าที่เป็นไฟฉาย เมื่อใช้โปรแกรมไฟฉายที่แถมมาให้ฟรีกับตัวเครื่องด้วยปุ่มหน้าเครื่องสำหรับจุดเด่นที่ทำให้เครื่องรุ่นนี้ดูน่าใช้ก็เพราะเรื่องของปุ่มนี่หละครับในปีนี้เครื่องหลายยี่ห้อต่างเริ่มให้ความสนใจกับปุ่มกดตัวเลขหน้าเครื่องสำหรับการใช้งานโทรศัพท์มากขึ้น โดยเครื่องรุ่นใหม่เกือบจะ 30% เริ่มหันเหการออกแบบมาใช้เครื่องที่มีลักษณะปุ่มกดหน้าเครื่อง สำหรับ O2 Stealth จะออกแบบปุ่ม D Pad หรือปุ่มควบคุมก่ารทำงานแบบ 5 ทิศทางมาในลักษณะวงกลม ล้อมด้วยปุ่มการทำงานต่างๆ แต่น่าเสียดายที่ทาง O2 ยังไม่ยอมใส่ปุ่ม Soft key บนตัวเครื่องสักที ทำให้เวลาใช้บงครั้งรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเหมือนกัน สำหรับปุ่มตัวเลขที่สไลด์ยื่นออกมานั้น นอกจากจะ input ข้อมูลตัวเลขได้แล้วยังสามารถไล่กดเรียงแบบอักษรได้เช่นกัน เหมือนกับโทรศัพท์มือถือทั่วๆไปเวลาไล่กดแป้นเพื่อส่ง SMSกล้อง
สำหรับกล้องใน O2 Stealth ยังคงอยู่ในระดับ 2 ล้านพิกเซ,ครับ คุณภาพของภาพถ่ายนั้นยังถือว่าไม่ชัด ตัวกล้องจะติดตั้งบริเวณด้านหลังตัวเครื่องมีไฟ Flash ช่วยเพิ่มความสว่างในการถ่ายภาพ โดยจะมีไฟอยู่บริเวณข้างๆเลนส์กล้อง การปรับแต่งในการถ่ายรูปรวมถึงระยะ ซูมและมาโคร จะต้องไปปรับจากในโปรแกรม Camera ของเครื่อง สรุปแล้วในเรื่องของกล้องยังถือว่าไม่โดเด่นเท่าที่ควรครับ คุณภาพของภาพถ่ายก็ยังไม่ชัดกิ๊กเหมือนกล้องในโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ O2 Stealth ใช้หน้าจอแบบ TFT ขนาด 2.4 นิ้วแสดงผลสีได้สูงถึง 65k ขนาดความละเอียดที่ 240x320 พิกเซล ขนาดหน้าจอ 2.4 การใช้งานจริงไม่ค่อยรู้สึกว่าเล็กเท่าไร แต่เวลา input จาก Keyboard เสมือนบนหน้าจอรู้สึกว่าต้องเพ่งมากเป็นพิเศษ ความสว่างและความคมชัดของหน้าจอผมว่าเครื่องรุ่นนี้ทำได้ค่อนข้างดีครับ สีต่างๆทำได้คมทำให้รู้สึกว่าค่อนข้างจะสบายตาเวลาใช้งาน และด้วยหน้าจอที่มีขนาดเล็กจึงช่วยให้ภาพต่างๆบนเครื่องดูเหมือนจะคมและสดเป็นพิเศษสำหรับโปรแกรมในเครื่อง O2 Stealth ถือว่ายังให้มาไม่ค่อยเต็มพิกัดเสียเท่าไร โปรแกรมเด็ดๆในเครื่องนี้ก็คือโปรแกรมชุด O2 ที่แถมมาให้ไม่ว่าจะเป็น O2 BackupO2 AutoinstallerO2 AutoconfigO2 ConnectO2 PhoneplusO2 Plusนอกจากโปรแกรมชุดของ o2 เองแล้วนอกนั้นโปรแกรมที่ให้มารู้สึกว่าไม่ค่อยจะโดเด่นสักเท่าไร อย่างเช่นโปรแกรม ไฟฉาย ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ค่อยได้ใช้บ่อย โดยรวมๆแล้วเครื่องรุ่นนี้ยังให้โปรแกรมมาแบบพื้นๆ ซึ่งผู้ใช้ต้องไปหามาเพิ่มเอง แหม่!! ก็ O2 อุตส่าห์เพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลใน Rom มาให้อีกเพียบก็คงต้องไปหาโปรแกรมมาลงกันต่อเองอีกนะครับ ภาพโปรแกรมต่างๆในเครื่อง O2 Stealth ครับ ยังไม่ค่อยมีโปรแกรมที่เห็นแล้วรู้สึกว่า น่าสนใจหรือน่าแปลกใจ แต่ดีที่มีโปรแกรม Backup ให้มากับเครื่องเลย สามารถเลือก Back up ข้อมูลลงใน Card ได้ทันทีกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถ Restore ข้อมูลกลับมาได้ทันที ส่วนโปรแกรมในภาพชวามือก็คือโปรแกรมการตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ สำหรับการใช้งานเป็น Wireless Modem ของ O2 Stealth จะใช้ผ่านโปรแกรมที่ชื่อว่า Internet sharing ซึ่งผมลองใช้งานดูแล้วก็สามารถเชื่อมต่อและใช้งานได้ง่ายดีครับ มีให้เลือกรูปแบบการเชื่อมต่อที่จะใช้ต่อ Wireless Modem หลายหลายวิธี ซึ่งถือว่าทำออดมาได้ค่อนข้างดีครับผู้ใช้มือใหม่ก็สามารถเข้าใจการตั้งค่าได้ด้วยตนเองไม่ยากนัก ตอนแรกหาอยุ่ตั้งนานครับว่า Auto Config เครื่องรุ่นนี้อยู่ไหน พอเปลี่ยน Sim ใหม่ปุ๊ปเวลา Boot เครื่องครั้งแรกจะตั้ง Auto Config ให้เลยครับค่อนข้างสะดวกดี ส่วนภาพทางขวาคือโปรแกรม O2 Phone Plus สำหรับเปิดการใช้งาน Samrt Dialing ช่วยในการโทรศัพท์ และ Blocjk List สำหรับการตั้งค่าเพื่อกำหนดหมายเลขโทรเข้า คล้ายๆกับโปรแกรม Block สายทั่วๆไป
Settingsเรามาดูในส่วน Settings ของเครื่องบ้างครับว่าให้อะไรใหม่ๆมาบ้างหรือไม่ พอเปิดเข้าไปในส่วน Settings แล้ว ไม่มีอะไรใหม่ๆเลยครับ เมนู settings ไม่ได้แปลกแตกต่างจากเครื่องรุ่นอื่นๆ เลย มี เมนูแปลกใหม่อยู่อันเดียวสำหรับในส่วนการตั้งค่าก็คือ Slide setting เป็นการตั้งค่าฝาเลื่อนสไลด์ของโทรศัพท์รุ่นนี้ว่า จะให้ตั้งเป็นแบบรับสายด้วยการสไลด์หรือไม่เท่านั้นเอง
ประสิทธิภาพในส่วนของการทำงานของ O2 Stealth ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะให้ความสนใจส่วนนี้เป็นพิเศษ เครื่องรุ่นนี้ใช้ CPU ของ Intel ที่ความเร็ว 416 Mhz การทำงานโดยทั่วๆไปแล้วถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่เร็วและไม่ช้า จากการใช้งานของผมมีการติดตั้งโปรแกรมต่างๆลงไปในตัวเครื่อง เพื่อวัดประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเกมส์และโปรแกรมที่กิน CPU หนักๆ เพื่อทำการทดสอบ หลังจากลอง Run โปรแกรมดูพบว่าหลังจากเปิดโปรแกรมพร้อมๆกันประมาณ 5-6 โปรแกรมเครื่องจะมีอาการอืดๆ บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับค้างจนต้อง reset การทำงานโดยรวมๆของ CPU รุ่นนี้ถือว่า อยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ เรื่องของความเร็วก็พอๆกับเครื่อง รุ่นอื่นๆที่ใช้ CPU Intel ที่ความเร็ว 416 Mhz ขนาดของหน่วยความจำเครื่องรุ่นนี้ถือว่าเป็นจุดขายของเครื่องเลยก็ว่าได้ เพราะมี ROM ขนาด 192 MB ซึ่งถือว่าค่อนข้างใหญ่กว่าเครื่องรุ่นอื่นๆในระดับเดียวกัน แต่ RAM ยังคงให้มาที่ 64 MB เท่าเดิม การทดสอบด้านความอึดของแบตเตอรี่ ผมได้ทดสอบโดยชาร์จไฟเต็มในครั้งแรก หลังจากนั้นลองเปิดเครื่องใช้งานแบบเต็มรูปแบบ คือมีการใช้งานทั้ง Bluetooth และ Wi-Fi อยู่อย่างประปรายในยระหว่างวัน ส่วนการใช้งานด้านโทรศัพท์นั้นได้ใช้พูดคุยตลอดเวลา ซึ่งจากกการทดสอบพบว่าหลังจากเริ่มเปิดเครื่องตอน แปดโมงเช้าขณะไฟเต็ม จนถึงประมาณ 3 ทุ่มในวันเดียวกันเครื่องจะเริ่มเตือนเรื่องแบตเตอรี่ว่าไฟออ่อน ซึ่งแบตเตอรี่ในเครื่อง O2 Stealth นั้นจะให้มาที่ขนาด 1300 mAh ในขณะที่เครื่องรุ่นอื่นๆส่วนมากจะให้มาที่ 1550 mAh ซึ่งน้อยกว่ากันหน่อย แต่หากเป็นการใช้งานในลักษณะไม่หักโหมกระหน่ำคุย แบตเตอรี่ของ O2 Stealth สามารถใช้งานข้ามวันได้สบายๆครับการเชื่อมต่อ ในด้านการเชื่อมต่อ O2 Stealth รองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบ Bluetooth และ Wi-Fi โดยใน Wi-Fi ที่ให้มาจะเป็นแบบ 802.11 b/g และ Bluetooth 1.2 สำหรับโปรแกรม USB ที่ให้มาสามารถตั้งค่าการเชื่อมต่อได้สองแบบคือเมื่อเสียบสาย mini USB แล้วเชื่อมต่อกับ PC จะให้เครื่อง O2 Stealth ทำการ Sync กับ Activesync หรือจะให้ทำหน้าที่เป็น card reader ก็ได้ สำหรับเวลานำไปใช้งานข้างนอกเพื่อความสะดวก โดยรวมๆแล้วเรื่องการเชื่อมต่อยังมาแบบพื้นๆครับ ประสิทธิภาพการใช้งานด้านโทรศัพท์ สำหรับ Rom ในเครื่องตัวนี้ผมคาดว่าน่าจะเป็น Rom ตัวเดียวกับตอนที่จะออกจำหน่าย ประสิทธิภาพในการโทรศัพท์มีสัญญาณแกว่งบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มาก นานๆจะเป็นสักที แต่สำหรับการใช้งานด้านสนทนากับคู่สาย เสียงดังฟังชัดดีครับ ไม่มีเสียงแทรกหรือเสียงก้องใด ลองขับรถพูดคุยบนทางด่วนดู สัญญาณก็ไม่มีหลุดนะครับ นอกจากบางพื้นที่ที่เป็นจุดอับสัญญาณจริงๆของผู้ให้บริการก็จะเจออาการคลื่นหายบ้าง แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาของตัวเครื่องแต่เป็นปัญหาของเครือข่ายมากกว่า เครื่องบางรุ่นเห็นมีบ่นกันว่าเวลาใช้งานบนทางด่วนบางทีสัญญาณอยู่ๆก็หายไปเลยและไม่สามารถ Refresh สัญญาณกลับมาได้ แต่ในเครื่องรุ่นนี้ผมลองทดสอบแล้วยังไม่พบปัญหาครับ สำหรับการใช้งานด้านสไลด์รับสาย ก็ทำให้รู้สึกว่าเหมือนใช้งานโทรศัพท์ปกติ แต่เวลากลางคืน ต้องขอติหน่อยที่เวลาสไลด์ปุ่มออกมาแล้ว ปุ่มไม่มีไฟแสดงตัวเลขในเวลากลางคืน ซึ่งปกติโทรศัพท์มือถือที่มีแป้นแบบสไลด์เวลาเลื่อนออกมาส่วนใหญ่จะมีไฟที่ปุ่มเพื่อแสดงตำแหน่งตัวเลข สำหรับช่วงข้อต่อของการสไลด์นั้น ผมเดาว่าหากใช้ไปนานๆเครื่องรุ่นนี้อาจจะมีมีหลวมคลอนบ้าง เพราะดูไม่ค่อยแนบแน่นเท่าไร สำหรับแห้นตัวเลขก็แนวราบไปนิดเวลากดไม่ค่อยให้ความรู้สึกเป็นปุ่มเท่าไรนัก แต่สำหรับการใช้งานปุ่มตัวเลขของเครื่องรุ่นนี้ สามารถใช้ป้อนตัวอักษรด้วยการกดปุ่มด้วยนะครับ ในการทดสอบครั้งนี้มีโปรแกรมภาษาไทยของค่าย Thai Win CE ติดมาให้ด้วย ซึ่งรองรับการใช้งานโดยตรงกับเครื่องรุ่นนี้ โดยเราสามารถ Input ข้อมูลเป็นตัวภาษาไทยได้จากแป้นตัวเลขนี้ได้ทันที โดยการกดซ้ำๆ เพื่อไล่ตัวอักษร รูปแบบต่างๆของ ThaiWinCE ThumbKey ซึ่งสามารถกดได้จากหน้าจอเช่นกัน การแสดงรูปแบบตัวอักษรต่างๆทำได้สวยงามมากครับ เพื่อเพิ่มความสะดวกและใช้ประโยชน์จากแป้นตัวเลขด้านหน้าได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
สรุปสำหรับ O2 Stealth ที่นำมาทดสอบในครั้งนี้ ไม่ค่อยได้สร้างความแปลกใหม่ตื่นเต้นอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรกเท่าไรนัก เครื่องรุ่นนี้มาแนวพื้นๆไปสักนิดโดยไม่มีลูกเล่นใดๆมากนัก FM radio และ TV Tuner ก็ไม่มีใส่มาให้ ซึ่งปกติจะเป็นเอกลักษณ์ของค่าย Gigabyte แต่เมื่อทาง Gigabyte ตัดสินใจผลิตเครื่องให้ทาง O2 ลูกเล่นบางอย่างเลยถูกตัดไป ส่วนเรื่องการดีไซด์บางคนบอกว่าดูไม่ค่อยสวย แต่ผมลองใช้งานดูแล้วผมว่าวัสดูและการดีไซด์ของเครื่องรุ่นนี้ใช้ได้เลยนะครับ แต่ออกมาแนวดำเกินไปหน่อยน่าจะมีสีอะไรตัดสักนิด การทำงานของตัวเครื่องอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติครับไม่ถึงกับเร็วและไม่ถึงกับช้าอยู่ในเกณพฑ์กลางๆ สำหรับโปรแกรมที่ให้มาก็ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นมากนัก หากจะเทียบไปแล้ว O2 Atom น่าจะมีลูกเล่นอะไรที่มากกว่า อย่างน้อยก็มีโปรแกรม FM ฟังรายการวิทยุได้ สำหรับแป้นตัวเลขแบบสไลด์นั้นค่อนข้างมีประโยชน์และสะดวกมากครับ รู้สึกทันทีว่าการใช้งานด้านโทรศัพท์ของเครื่องรุ่นนี้ใช้งานได้สนุกมากขึ้นอีกเยอะ โดยรวมๆแล้วเครื่องรุ่นนี้มาแนวพื้นๆครับไม่โดดเด่นแบบพลิกฝ่ามือแต่ก็ไม่ด้อยจนแทบไม่อยากได้ เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการ PDA Phone ที่มาแนวโทรศัพท์มือถือ จุดขายคือรูปร่างที่คุ้นตา กับขนาด memory ที่มีขนาดใหญ่ แต่หากใครที่ต้องการเครื่องแบบลูกเล่นเยอะๆ คงจะไม่ใช่ O2 Stealth อย่างแน่นอน คงต้องหันไปรอ O2 Mar หรือไม่ก็ HTC Artemis โน่นเลยครับ







Asus P 525

จุดเด่นของ Asus p 525 บ้าง1.มีปุ่มด้านหน้าเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน2.กล้องดิจิตอลในความละเอียดสองล้านพิกเซล พร้อม Auto Focus ที่ให้ความคมชัดสูงและชัดที่สุดในบรรดา PDA Phone ที่จำหน่ายในตลาดขณะนี้3.มีโปรแกรม My Secret ช่วยการเก็บข้อมูลที่เป็นความลับ4.มีโปรแกรม Biz Card recognition ช่วยแปลงภาพถ่ายนามบัตรให้เป็นข้อมูลในโปรแกรม Contact 5.ตัวเครื่องออกแบบสวยและวัสดุที่ใช้มีคุณภาพ






Spec
หน่วยประมวลผล : 416MHz Intel® XScale™
ระบบปฎิบัติการ : Windows Mobile 5.0 Pocket PC Phone Edition
ระบบโทรศัพท์ Quad band, GSM 850/900/1800/1900; GPRS Class B, multi-slot Class 10
หน่วยความจำ: 128MB Flash ROM และ 64MB SDRAM
การแสดงผล : 2.8", 240 x 320 pixels, 65,000 TFT
แบตเตอรี่ : 1300 mAh Li-ion
กล้อง : 2 ล้านพิกเซล พร้อม ออโต โฟกัส และ แฟลช สามารถถ่ายได้ทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ
การเชื่อมต่อ : WLAN 802.11b, Bluetooth Version 2.0, IrDa(SIR), USB 1.1
ช่อง Slot : min iSD card slot
รูหูฟัง : 2.5mm Audio Jack
ขนาดเครื่อง : 116.8 x 59 x 19 mm , 159.5g






รูปร่างหน้าตาด้านหน้า ตัวเครื่องรุ่นนี้ออกแบบให้มีความคล้ายคลึงกับโทรศัพท์มือถือทั่วไปมากที่สุดโดยหน้าจอมีขนาด 2.8 นิ้งเป็นขนาดมาตราฐานของ PDA Phone ทั่วๆไป รูปทรงดูเหลี่ยมมนเข้ากันดี ตัวเครื่องเป็นพลาสติกทั้งตัวเพื่อความเบาในการพกพา การออกแบบเครื่องรุ่นนี้ผมว่าทำมาได้สวยงามมากทีเดียวครับ ตัวเครื่องจะมีแผ่นสแตนเลสบางๆปิดไว้ ทำให้ดูงานเรียบร้อยและหรูหรา เป็นสีน้ำตาลไหม้ๆ ดูแล้วก็คลาสสิคดี บริเวณลำโพงด้านหน้าออกแบบดูกลมกลืนไปกับตัวเครื่องพร้อมซ่อนไฟบอกสถานะอยู่ด้านข้าง ขนาดขอบจอไม่สูงทำให้สะดวกเวลาหากไม่ใช้ Stylus จิ้มหน้าจอก็ทำได้สะดวกดี ปุ่มกดหน้าเครื่องใช้งานได้สะดวกดีครับนอกจากจะมีแป้นตัวเลขแล้วยังมีปุ่มสำหรับการใช้งานเครื่องอยู่บริเวณด้านหน้าพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม Softkey ที่เป็นมาตราฐานหลักในการทำงานของ Windows Mobile 5 และปุ่มเข้าเมนูการใช้งานต่างๆ สำหรับปุ่ม D Pad ที่เป็นปุ่มควบคุม 5 ทิศทางเหมือนในเครื่องรุ่นอื่นๆนั้นกลับถูกเปลี่ยนเป็นในลักษณะ joy stick แทนซึ่งจะเป็นตุ่มเล็กๆยื่นออกมาสามารถควบคุมการทำงานได้ 5 ทิศทางเหมือนกันครับ แต่ทว่าลองใช้งานจริงแล้วผมว่ามันใช้งานค่อนข้างลำบากมากเลย ชอบแบบทั่วไปมากกว่า โดยเฉพาะเวลาใช้งานด้านโทรศัพท์โทรออกนั้น ตรงเลข 2 ชอบไปโดนปุ่มกดแบบ Joystick นี้ทุกทีแล้วหากเผลอกดไปโดนกลับกลายเป็นว่าเครื่องจะโทรออกทันทีโดยที่ยังกดเลขไม่เสร็จ แต่จุดดีก็มีตรงที่ปุ่มเหล่านี้จะมีไฟด้านหลังด้วยครับ เวลากลางคืนไฟที่ปุ่มจะดูส๊วยยยยยยสวย ด้านข้าง เครื่องรุ่นนี้ไม่ค่อยหนาและก็ไม่บางจนเกินไปเพราะฉะนั้นหากมองด้านข้างจะดูไม่ค่อยอวบอั๋น เครืองรุ่นนี้ออกแนวกว้างและยาวกว่าเครื่องรุ่นอื่นๆนิดหน่อยตรงส่วนด้านข้างนั้น ทางด้านซ้ายเครื่องจะมีปุ่มหลักอยู่สามอย่างคือบนสุดคือปุ่มเรียกการใช้งานของกล้องดิจิตอลในเครื่องซึ่งเครื่องรุ่นนี้ในส่วนของโปรแกรมจะไม่มี โปรแกรม camera มาหดังนั้นกดจากปุ่มด้านข้างก็สะดวกดีครับ ถัดมาคือปุ่ม สั่งงานด้สนเสียง และหากกดค้างก็จะกลายเป็นปุ่มบันทึกเสียงสนทนา ในส่วนล่างสุดของทางด้านข้างจะเป็นรูสำหรับ reset เครื่องทางด้านขวาจะเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่องและปุ่ม hold สำหรับปิดไฟหน้าจอเพื่อประหยัดพลังงาน ปกติไม่ค่อยจะเจอเครื่องรุ่นใหม่ๆที่จะให้ปุ่ม Hold มาด้วย นานๆจะเจอแบบนี้สักที ด้านบน ทางด้านบนนั้นเป็นช่องเสียบ memory แบบ Mini SD พร้อมกับช่อง อินฟราเรดที่ซ่อินอยู่ภายในดูแล้วเหมือนจะมองไม่เห็นอะไรเลย มุมขวาของเครื่องเป็นช่องเก็บสไตรัส ซึ่งเครื่องรุ่นนี้ให้ สไตรัสแบบพลาสติกแต่ก็มีน้ำหนักที่ไม่เบาจนเกินไปด้านล่างบริเวณด้านล่างเหมือนกับเครื่อง PDA Phone รุ่นทั่วๆไปครับคือจะมีรูหูฟังแบบ 2.5 mm และช่องสำหรับเสียบ mini USB ซึ่งหาอุปกรณ์ค่อนข้างง่ายดีด้านหลัง บริเวณด้านหลังดูค่อนข้างเฉียบดี มาแนวเรียบๆหรูๆ ตรงส่วนด้านหลังเวลาพลิกมาปุ๊ปก็จะเจอกล้องขนาด 2 ล้านพิกเซลแบบ auto Focus สามารถถ่ายมาโครได้ครับแล้วก็ไม่ต้องมาปรับบริเวณหลังเครื่องเหมือนเครื่องรุ่นอื่นๆ ลำโพงจะถูกติดตั้งบริเวณใกล้ๆกับกล้อง กล้องรุ่นนี้มีแฟลชมาให้ด้วยภาพค่อนข้างชัดเจนมากเปิดฝาหลังจะพบแบตเตอรี่ขนาด 1300 มิลลิแอมป์ เป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน ให้กระแสไฟที่แรงและเก็บไฟได้นานไม่ค่อยรั่วไหลออกเองดังนี้หากชาร์จแล้วไมได้ใช้นานๆเวลากลับมาเปิดจะพบว่าไฟจะมีปริมาณเท่าๆเดิมหน้าจอ หน้าจอเครื่องรุ่นนี้เป็นแบบ Transmissive QVGA color TFT LCD ความละเอียดหน้าจอที่ 240x320 พิกเซล ซึ่งเที่ยบเท่ากับเครื่องรุ่นอื่นๆก็ถือว่าพอๆกันหน้าจอมีความสว่างและคมชัดอยู่ในระดับที่ดีทีเดียว ผมลองเร่งแสงแบบสุดๆพบว่าการแสดงสีที่ 65 k ให้ความอิ่มของสีที่ดีมากทีเดียว จอรุ่นนี้ผมว่าคมชัดมากครับทั้งสว่างทั่งชัด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแตกต่างจากเครื่องรุ่นอื่นๆมากนักแต่ก็ถือว่าชัดกว่าในความคิดผมประสิทธิภาพการทำงาน1.การทำงานของ CPU ความเร็วในการทำงานเครื่องรุ่นนี้ใช้ CPU ที่ความเร็ว 416MHz ซึ่งจากการทดสอบการใช้งานก็ถือว่าเร็วปรู๊ดปร๊าดทันใจดี เร็วกว่า Dopod 818 Pro ที่ผมใช้อยู่อย่างเห็นได้ชัด ในการทำงานของ CPU เครื่องรุ่นนี้เราสามารถไปตั้งความเร็วการทำงานได้ครับ โดยจะต้องเข้าไปในส่วนของ Setting ซึ่งจะพบ icon ที่ชื่อว่า CPU Mode เป็นการปรับแต่งการทำงานของเครื่อง โดยสามารถเลือกให้เป็นแบบ Auto เพื่อประหยัดพลังงานไฟในเครื่องเพราะหากใช้แบบ Turbo Mode ตลอดเวลาจะทำให้กินไฟ แต่เวลาใช้งานจริงผมก็ปรับไปที Turbo ตลอดเวลาเพราะลองปรับแบบ Auto แล้วเจอปัญหาเรื่อง CPU เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็วมันทำให้รู้สึกรำคาญในการใช้งานนิดหน่อย เลยปรับแบบ Turbo เอาไว้ดีกว่า การทำงานผมลองโหลดโปรแกรมหนักๆไม่ว่าจะเป็นกราฟฟิค และเกมส์ต่างๆพบว่า การทำงานเครื่องรุ่นนี้ไม่หน่วงครับ เล่นเกมส์ก็ตอบสนองเร็วทันใจดี2.หน่วยความจำหน่วยความจำเครื่องรุ่นนี้ยังมาแบบมาตราฐานทั่วไปคือ ROM 128 MB และ RAM 64 MB ซึ่งเครื่องรุ่นใหม่ๆในอนาคตอันใกล้นี้ขนาด ROM จะเพิ่มขึ้นไปที่เกือบ 200 MB อย่างไรก็ตามพื้นที่ ROM ที่เอาไว้เก็บโปรแกรมนี้หากไม่เพียงพอก็ไม่น่ากังวลเพราะเราสามารถใช้ MINI SD เพิ่มก็ได้ครับแถมยังเพิ่มได้เป็น GB และเดี๋ยวนี้ Mini SD ก็ถูกลงทุกวันๆ เนื่องจาก Memory ขนาด 64 MB ส่วนมากมักจะพบปัญหากับเครื่องทุกรุ่นคือมันไม่ค่อยเพียงพอต่อการใช้งานเท่าไรนักต้องขยันหมั่นปิดโปรแกรมหรือไม่ก็ต้องลงโปรแกรมพวก Task Manager ช่วยก็ได้ โดยโปรแกรมที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ Magic Button เพราะมันฟรีและไม่กิน CPU ด้วย3.แบตเตอรี่เรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากก็คือเรื่องของการกินไฟหรือไม่ของเครื่องรุ่นนี้ เพราะ Asus P505 รุ่นก่อนหน้านี้สอบตกติด F ไปหลายรอบเพราะใน Asus P505 หากใครใช้อยู่จะทราบดีถึงการกินไฟของเครื่องรุ่นนั้นว่ามันโหดร้ายแค่ไหน แต่ใน P525 สงสัยส่งไปโรงเรียนกวดวิชามาอย่างดี เลยพบว่าเครื่องรุ่นนี้ไม่ค่อยจะบริโภคไฟสักเท่าไร จากการทดสอบผมลองชาร์จไฟเต็มแล้วเปิดใช้งานในช่วงเช้าแบบไม่มีการเปิดการเชื่อมต่อใดๆนอกจากโทรศัพท์ใช้งานที่พูดคุยกันตามปกติในประจำวันมีทั้งคุยมากและคุยน้อยปนๆกันไป แต่หากคุยยาวๆก็ประมาณ 30 นาที ในแต่ละครั้ง พอตกมือดค่ำๆลองเช็คไฟดูปรากฎว่าไฟเหลืออยู่ประมาณ 40 กว่า % ( เปิดแบบ CPU Auto ) หากมีการใช้งาน Wi-Fi หรือ Bluetooth ด้วยจะกินไฟมากกว่านี้พอสมควร ดังนั้นเอาเป็นว่าเครื่องรุ่นนี้ผมมองว่าหากใช้ให้ดีก็ควรชาร์ไฟวันต่อวัน หากจะใช้สองวันสงสัยจะไม่รอดข้ามวันในวันที่สองหากเป็นการใช้งานแบบทั่วๆไปแบบไม่คต้องคอยมานั่งกังวลประหยัดไฟ โปรแกรมพิเศษไปดูกันต่ออีกซะหน่อยเรื่องของโปรแกรมพิเศษที่เป็นโปรแกรมของผู้ผลิตแต่ละเจ้าเขาให้ติดเครื่องมากันครับ โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นโปรแกรมหลักเครื่องที่จะ Hard reset แล้วไม่หายไปไหน1.Asus Status โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมบอกสถานะบนหน้าจอ Today Screen ที่มุมล่างขวของจอโดยจะบอกสถานะการใช้งานต่างๆให้เราได้ทราบเช่น พวก ความสว่าง ปริมาณไฟ พื้นที่หน่วยความจำ ซึ่งหากไม่คือจะไปลงโปรแกรมอื่นๆพวก Today Plug in ผมมองว่าแค่โปรแกรมนี้ก็เพียงพอแล้ว ขาดแต่พวก Task Manager ที่ไมได้ให้มา ถ้าให้มากด้วยก็ perfect เลย2.My Secret My Secret นี่ถือว่าเป็นโปรแกรมจุดขายของทาง Asus เลยก็ว่าได้เป็น Folder พิเศษที่จะสร้างตัวขึ้นมาอยู่ใน My Documents โดยจะมีชื่อว่า My Secret สำหรับเอาไฟล์สำคัญๆไปใส่ไว้ โดยการที่จะเข้าใน Folder นี้ได้จะต้องใช้รหัสผ่าน ซึ่งจะต่างกับโปรแกรม Lock เครื่องของที่ติดมากับ Windows Mobile 5 เพราะโปรแกรมนี้จะใส่รหัสเฉพาะตอนเข้า Folder นี้เท่านั้น ซึ่งก็มีประโยชน์เอาไว้ใส่ข้อมูลสำคัญหากทำเครื่องหายไปก็ไม่มีใครสามารถเปิดดูได้อยู่ดี3.Default setting เป็นโปรแกรมคล้ายๆกับ Clear Storage เหมือนในเครื่อง Dopod ครับคือว่าง่ายๆก็คือ Hard reset ดีๆนี่เอง หากเรียกโปรแกรมขี้ขึ้นมาแล้วใส่ เลข 1234 ลงไปเท่านี้ ข้อมูลก็จะหายไปหมดเกลี้ยงเหมือนกับ Hard reset เสียวเหมือนกันหากใครไม่รู้ไปกดเล่นมีหวังเจ้าของเครื่องร้องจ๊ากกก4.Biz Card Recognition เป็นโปรแกรมที่แปลกแต่ไม่ค่อย Work เท่าไร โปรแกรมตัวนี้เป็นโปรแกรมสำหรับการแปลงภาพถ่ายนามบัตรที่เราใช้กล้องในเครื่องถ่ายแบบมาโครระยะใกล้ แล้วโปรแกรมนี้จะทำการแปลงภาพถ่ายที่เป็นตัวอักษรนั้นให้กลายเป็น Text ข้อมูลลงในโปรแกรม Contact ซึ่งผมลองใช้งานดูแล้วปรากฎว่ามันแปลงผิดๆถูกๆยังไม่ค่อยแม่นแล้วก็ใช้ได้เฉพาะภาษาอังกฤษ ดังนั้นใช้กรอกข้อมูลแบบเดิมหละ work สุดแล้วหละครับ
Settings ในส่วนของ Setting ของเครื่องรุ่นนี้เราลองไปดูกันซะหน่อยว่ามีเมนูอะไรแปลกๆให้ได้ลองเล่นบ้าง สำหรับเมนูพิเศษแปลกๆที่แตกต่างจากเครื่องรุ่นอื่นๆก็มีดังนี้ครับในส่วนแถบ Setting >> Personal - Profile เป็นการตั้ง Profile ล่วงหน้าสำหรับการใช้งานโทรศัพท์ว่าจะให้มีระดับเสียงเท่าไร- Ringtone การ set ไฟล์เสียงเรียกเข้าทำได้ 4 format คือ wav/mid/wma/mp3ในส่วนแถบ Setting>>system - Audio สามารถปรับแต่งเสียงได้ทั้งเสียงทุ้มและเสียงแหลม- Asus Status- CPU Mode- Mode Switch ในส่วนแถบ Setting>> Connectionในส่วนนี้ไม่ค่อยแตกต่างอะไรมากนักจากเครื่องรุ่นอื่นๆเพิ่มเข้ามาก็ตรงในส่วน USB Switch สามารถแปลงเครื่อง Asus P525 ให้เป็น Thumb Drive ได้ครับ เป็นการจำลองโดยไม่ต้องไปลงพวกโปรแกรม Card Export ใดๆเพิ่มการเชื่อมต่อ การเชื่อมต่อของเครื่องรุ่นนี้หลักๆจะมีทั้งหมดสี่อย่างด้วยกันคือ - USB- อินฟราเรด- Bluetooth - Wi-Fi การทดสอบลองใช้ Internet ผ่าน GPRS พบว่า ค่อนข้างน่าแปลกใจว่าทำไมเครื่องรุ่นนี้ลืมให้ Auto Config เครื่องมาให้เป็นการ set up GPRS แบบอัตโนมัติ ซึ่งในเครื่องรุ่นอื่นๆจะมีมาให้เกือบทุกรุ่น แต่ใน Asus P525 รุ่นนี้ไม่มีให้มาครับต้องมานั่ง set เอง แปลกใจมาก แต่ก็หวังว่าในเวอร์ชั่นจริงออกจำหน่ายอาจจะมีการแก้ rom ใส่เพิ่มมาให้ด้วยก็ได้ครับต้องรอดูต่อไป สำหรับการใช้งาน wi-fi และ Bluetooth ต้องไปเปิดการใช้งานเองบนหน้าจอ today screen ทางมุมล่างขวามือ ไม่มีโปรแกรม Com Manager ช่วยในการเชื่อมต่อครับ ใน Wi-Fi Manager สามารถเข้าไปดูสถานะการเชื่อมต่อต่างๆได้ง่ายๆกล้องดิจิตอล สำหรับไม้เด็ดของ review นี้ผมขอยกให้เรื่องกล้องก็แล้วกันเพราะเชื่อว่าหากใครได้ใช้กล้องของเครื่องรุ่นนี้ต้องชอบแน่ๆ กล้องใช้งานง่ายเมนูปรับแต่งเพียบและที่สำคัญคุณภาพของภาพถ่ายชัดเจนมากครับ โดยปกติเครื่อง PDA Phone ที่มีกล้องในตัวจะให้โปรแกรมที่เรียกว่า Camera มาหใด้วยแต่ในเครื่องรุ่นนี้โปรแกรม Camera ไม่มีมาให้ แต่จะไปฝังตัวอยู่ในโปรแกรม Picture and Video แทน หรือหากต้องการเรียกการใช้งานกล้องก็สามารถกดจากปุ่มด้านข้างตัวเครื่องได้ กลอ้งในเครื่องรุ่นนี้มี ออโตโฟกัสครับพร้อม Flash ช่วยถ่ายในที่มืดและยังมีมาโครสำหรับถ่ายระยะใกล้ให้มากด้วยโดยไม่ต้องไปปรับด้วยตนเองที่หลังเครื่องเหมือนเครื่องบางรุ่นอย่าง Dopod หรือ Gigabyte สำหรับคุณภาพของภาพถ่ายกล้องของ Asus P525 นี้น่าจะเป็นกล้องที่ชัดที่สุดในบรรดา PDA phone ที่จำหน่ายอยู่ในเวลานี้ ลองดูคุณภาพภาพถ่ายกันดูนะครับ<<< คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดจริง >>>ภาพถ่ายในเวลากลางคืน ภาพถ่ายในเวลากลางวัน การใช้งานด้านโทรศัพท์
สำหรับเรื่องของโทรศัพท์ในเครื่องรุ่นนี้ option การใช้งานต่างๆค่อนข้างเหมือนกับเครื่องรุ่นอื่นๆไม่มีโปรแกรมพิเศษใดๆที่น่าสนใจให้มา สำหรับคุณภาพของการใช้งานโทรศัพท์ผมลองใช้มาสี่วันเต็มๆพบว่า การใช้งานนั้นโทรเข้าโทรออกสัญญาณชัดเจนดีครับ ลองขับรถวิ่งบนทางด่วนสัญญาณโทรศัพ?ก็ยังเต็มเปี่ยมไม่มีการสวิงให้เห็น ทางด้านเสียงเรียกเข้าก็เสียงลำโพงดังชัดเจนเหมือนปกติ ลำโพงในตัวเครื่องรุ่นนี้ก็ถือว่าใช้ได้ดีทีเดียวถึงแม้จะไม่มีการแยกเสียงใดๆก็ตาม การพูดคุยผ่านทาง Bluetooth ก็ใช้งานได้ตามปกติ ในส่วนตัวแล้วเรื่องของโทรศัพท์ผมว่าโอเค ยังไม่เจอปัญหาการใช้งานแต่อย่างใด
สรุปการใช้งาน เครื่องรุ่นนี้ผมชอบเรื่องของ speed ความเร็วแล้วก็เรื่องกล้อง ความเร็วการทำงานเครื่องเร็วกว่าเครื่อง Dopod 818 Pro ที่ผมใช้อยู่อย่างสังเกตได้ส่วนเรื่องกล้องคงไม่ต้องบรรยายกันมากเพราะคุณภาพของภาพถ่ายที่ได้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ากล้องของเครื่องรุ่นนี้มันชัดแจ๋วจริงๆ ส่วนเรื่องของการดีไซด์ผมว่าสวยใช้ได้เลยแต่ขนาดออกจะใหญ่และอ้วนๆไปนิด แต่ก็ไม่มาก หากใครที่ชอบเครื่องเล็กแบบ HP rw6828 หรือ O2 Atom อาจจะไม่ค่อยชอบเครื่องรุ่นนี้ก็ได้ ส่วนเรื่องของแป้นกดหน้าเครื่องอันนี้ก็มีประโยชน์ดีครับสะดวกมากแต่ติตรงที่ปุ่ม Joy stick ด้านหน้านี่แหละผมว่ามันใช้งานลำบากไม่ค่อยถนัดเท่าไร ส่วนเรื่องกรเชื่อมต่อ internet น่าจะมี Auto Config ให้มาด้วยจะดีมากเลย เพราะเครื่องรุ่นใหม่สมัยนี้ต้องมีเป็นโปรแกรมมาตราฐานอยู่แล้ว ราคากับคุณภาพถือว่าโอเคครับ เหมาะสำหรับคนที่กำลังจะซื้อเครื่องใหม่ แต่หากใครที่ใช้ PDA Phone ในแบบ Windows Mobile 5 อยู่แล้วหากไม่เบื่อเครื่องเก่าเสียก่อนก็ใช้ต่อไปดีกว่าครับ เพราะเครื่องแต่ละรุ่นที่ออกใหม่มันก็ไม่ได้ต่างมากแบบพลิกหน้ามือเท่าไรนัก

Windows Vista ทั่วโลกต่างรอคอยระบบปฎิบัติการใหม่







หลังจากที่ผมได้ติดตามข่าวสารในเรื่องของวินโดวส์วิสต้ามาบ้างแล้ว เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าอุตสาหกรรมใดๆ ต่างก็รอคอยการมาถึงของ Windows Vista กันทั้งนั้นVista ที่ออกมาก่อนนี้ นั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ Microsoft ปล่อยออกมา ไม่ใช่ตัวจริง ณ วันที่จำหน่ายจริง ผู้ใช้ในกลุ่มธุรกิจนั้น เป็นอีกกลุ่มหนึ่งครับ ที่ไม่นิยมในการอัพเกรดเครื่องของตนเองมากนัก ทั้งนี้เพราะว่าไม่ใช่คนกลุ่มแรกๆที่มองเห็นการมาใหม่ของ OS นี้ แต่เรามุ่งประเด็นไปที่กลุ่มของนักกราฟิกทั้งหลาย ที่ตั้งตารอคอยการมาถึงของไดร์เวอร์ตัวจริงของวิสต้า สำหรับเครื่องของตนในช่วงวันที่ 30 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของการมาของ Vista
ทุกๆอย่างพร้อมและลงตัวแล้วสำหรับกำหนดการ ในส่วนของ ATI ยกตัวอย่างเช่น การผลิตไดร์เวอร์ที่สมบูรณ์แบบของ ไดร์เวอร์ Direct 3D ซึ่งทำให้เกมเมอร์ทั้งหลายสามารถที่จะใช้ Vista 32 บิตเล่นเกมส์ได้ แต่ก็ยังไม่พร้อมนักสำหรับ OpenGL ในส่วนของ CrossFire ก็ทำงานได้ แต่ไม่ใช่ถึงขั้นที่ ATI ตั้งใจไว้ ในส่วนของหน่วยความจำระบบ RAM นั้นก็เป็นอีกอย่างที่จะขายดีในช่วงที่ Windows Vista ออกมา ทั้งนี้ก็เพราะว่า ตัวระบบปฏิบัติการนั้นต้องการ RAM มหาศาลในการรันระบบ อย่างน้อยก็ต้อง 2 GB ถึงจะทำงานทั้งหลายได้อย่างราบรื่น คุณพร้อมหรือยังครับสำหรับส่วนนี้ใกล้เข้ามาแล้ว มหกรรมอัพเกรดเครื่องครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 5 ปี ^^



ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดจากไมโครซอฟท์ ให้คุณสุดๆกับดิจิตอลมีเดียWindows Vista ที่ออกมาในปลายเดือนก่อน ยังคงเป็นที่กังขากันอยู่ว่า คุ้มค่าแค่ไหนที่เราจะซื้อ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ นอกจากว่าเงินที่ไมโครซอฟท์ได้ทุ่มไปกว่าหลายร้อยล้านเหรียญสำหรับการทำการตลาดจนถึงเดือนมิถุนายนนี้คงไม่สูญปล่าวอย่างแน่นอน ส่วนเราคงได้รับผลดีจาก Windows Vista มากมายอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นวินโดวส์ที่มีฟังก์ชั่นมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และมัน จะมาเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ของการใช้พีซีอย่างแน่นอน



แม้ว่าการที่ Windows Vista ที่ออกมานี้จะไม่ใช่พัฒนาการที่ก้าวกระโดดของ Windows ก็ตามที แต่เมื่อนึกถึงการแก้ปัญหาจอฟ้าที่เกิดบ่อยของเมื่อ 5 ปีก่อน (ฮา) นี้แล้ว แค่นี้ก็คุ้มค่ามากแล้วสำหรับการที่จะอัพเกรดเป็นวิสต้า การใช้งาน Windows XP ถึงเวลาที่จะหยุดแล้ว เพราะ Windows Vista เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมการทำงานของวงการคอมพิวเตอร์ เลยทีเดียว เช่น ให้การเก็บไฟล์เพลงจากซีดีลงเครื่องทำได้ง่ายดายมากกว่าเดิม หรือการจัดไฟล์ภาพดิจิตอลที่คุณชื่นชอบ แต่ในความเป็นจริง ยังคงมีผู้ใช้หลายๆคนที่ยังคงต้องใช้ XP อยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การเข้าสู่ยุคของวิสต้านั้นถูกเข็นโดย Microsoft ว่าเป็นพัฒนาการใหม่ล่าสุดนับจาก Windows XP และไม่เพียงแต่ปลอดภัยกว่า หรือการบูตที่รวดเร็วกว่า แต่ผู้ใช้จะได้พบประสบการณ์ในการใช้แบบใหม่ที่ง่ายกว่าเดิมมากอีกด้วยซึ่งเนื่องด้วยไมโครซอฟท์ได้รวมรวมไดร์เวอร์ไว้มากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้วิสต้าเป็นดิจิตอลฮับอย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ว่าการใช้งานกล้องดิจิตอล หรือแม้แต่ระบบไวร์เลส คุณก็ใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องกังวลใจเรื่องไดร์เวอร์อย่างที่เคยอีกต่อไปดูเหมือนจะยุ่งยากวุ่นวายนะครับ แต่ไมโครซอฟท์ออกแบบให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราๆนั้นใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้นในระบบเน็ตเวิร์คไม่ง่ายเลยสำหรับไมโครซอฟท์ ในการที่จะทำให้ดีมากยิ่งขึ้นสำหรับกลุ่มผู้ใช้ในทางธุรกิจ “เราโฟกัสในการสร้างสรรค์วิสต้าสำหรับกลุ่มคอนซูมเมอร์” นาย Brad Brooks ผู้จัดการทั่วไปของ Windows Client Group กล่าว ไมโครซอฟท์ได้ใส่ฟีเจอร์สำคัญไปอย่างมากมายในวิสต้า แม้ว่ามันจะมีอยู่พร้อมแล้วใน Apple OS X

10 ประการที่แตกต่างจาก XP
1. หน้าตาของโปรแกรมสร้างมาสำหรับยุคของการถ่ายภาพดิจิตอลไม่ใช่ว่าตรงนี้จะเป็นจุดขายของไมโครซอฟท์เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่มันจะเป็นอะไรที่เราๆท่านๆจะได้เห็นว่านี่คืออะไรที่มีประโยชน์จริงๆ เมื่อนำวิสต้าไปจัดการรูปภาพ วิดีโอ และเพลง เพราะมันไม่เพียงมีประโยชน์เกี่ยวกับไฟล์เวิร์ดเท่านั้น เมื่อคุณเปิดโฟลเดอร์ที่มีรูปภาพแล้ว คุณจะได้เห็นพรีวิวของรูปภาพ พร้อมแทกต่างๆ โดยที่ไม่ต้องใช้ซอฟท์แวร์อื่นๆเพิ่มเติมเลย 2. การติดตั้งแบบรูปภาพเมื่อก่อนเราคงเจอมาบ้างแล้วนะครับ ว่าเวลาติดตั้งวิสโดวส์นั้นใช้เวลานานมาก คุณอาจจะต้องขอร้องให้ผู้ชำนาญการมาจัดการให้คุณ หากคุณไม่เคยติดตั้ง Windows Vista มาในรูปแบบ DVD ที่พร้อมติดตั้ง การติดตั้งโปรแกรมนั้นทำได้ง่ายดายมาก เป็นรูปภาพ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากมายก็สามารถติดตั้งได้เอง 3. ไดร์เวอร์ที่ทันสมัยมากมายพร้อมติดตั้งไม่ต้องโหลดไดร์เวอร์ให้วุ่นวายอีกแล้วครับ คุณทราบไหมว่า Windows Vista นั้นมาพร้อมกับไดร์เวอร์กว่า 19500 ตัว ซึ่งติดตั้งให้คุณเองเสร็จสรรพ โดยไม่ต้องใช้ไดร์เวอร์เพิ่มเติม คุณจึงใช้ USB หรือ ไดร์วต่างๆได้เลยเมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว นอกจากนี้ยังมี Windows Update ที่คอยอัพเดตโปรแกรมให้ทันสมัยอยู่เสมอ 4 .Windows Desktop search และ Search Folder แบบบิ๊วอินคุณสามารถค้นหาไฟล์ต่างๆในเครื่องของคุณ หรือในโฟล์เดอร์ของคุณได้อย่างง่ายดาย 5. Sleep mode ที่ทำงานได้จริงแม้ว่ามันสิ่งเล็กๆ แต่วิสต้านั้นทำให้ระบบปฏิบัติการนี้สามารถปิดตัวและเปิดได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่นาที 6.การเข้ารหัสสำหรับเครื่องโน้ตบุ๊กข้อมูลบนเครื่องโน้ตบุ๊กของคุณนั้นไม่ปลอดภัยเลย และเมื่อมันถูกขโมยไป ก็เศร้าเลยหล่ะครับ สำหรับ Windows Bitlocker ที่มีการเข้ารหัส (สำหรับ Enterprise และ Ultimate) เท่านั้นครับ ที่สามารถเข้ารหัสไฟล์ทุกไฟล์ในเครื่องของคุณ ทำให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น 7.ตัวนำทางที่ดีขึ้นWindows Vista มาพร้อมกับฟังก์ชั่น Breadcrumbed ที่ให้คุณกลับไปยังโฟล์เดอร์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดายผ่านทางพาธ ซึ่งเราอาจจะหงุดหงิดที่บางครั้งต้องคลิ๊ก Back หลายๆครั้งใน Windows XP แต่สำหรับ Vista รับรองคุณต้องชอบครับ 8. UndeleteWindows Vista เก็บไฟล์ของคุณไว้ในที่ปลอดภัย และให้คุณย้อนกลับไปที่ไฟล์ตั้งต้นได้ทุกเมื่อ 9.DirectX 10แม้ตอนนี้เรายังไม่เห็นประโยชน์ของมันมากนัก แต่ DirectX 10 ก็เป็นเทคโนโลยีสำหรับอนาคตที่มาแน่ และคุณจะไม่ได้เห็นมันใน Windows XP (อย่างน้อยก็ในขณะนี้และเร็วๆนี้) 10.ความจริงคือ คุณไม่มีทางเลือกWindows Vista เป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของ Microsoft ที่คุณไม่สามารถปฏิเสธได้เลยหลังวันที่ 30 มกราคมนี้ บริษัทต่างๆเริ่มเปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก XP เป็น Vista แล้วในเครื่องของตน นอกจากว่าคุณจะใช้ Linux และเป็นที่แน่นอนว่า หากคุณซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องต่อไปของคุณ ไม่ว่าพีซี หรือ โน้ตบุ๊ก ต้องเลือกที่เป็น Windows Vista เท่านั้นนะครับ



สเป็คคอมขนาดไหนถึงจะใช้ Vista ได้

สำหรับใครที่คิดจะซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้ง PC และ Notebook ในตอนนี้ ผมอยากให้ท่านรอก่อนนะครับ เพราะอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น ท่านจะได้ Windows Vista Preload ซึ่งแถมมาให้พร้อมกับเครื่อง เลย และสำหรับโน๊ตบุ๊กในบางยี่ห้อที่มี Express Upgrade เป็น Windows Vista ได้นั้น ท่านก็โชคดีมาก ที่ได้ใช้งาน Windows Vista แต่ อย่ากระนั้นเลยครับ Windows Vista เนี่ย จำเป็นต้องใช้กำลังเครื่องมากอย่างที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน (จากการที่ผมได้ลองใช้มาระยะหนึ่ง) คุณต้องแน่ใจว่าเครื่องของคุณแรงเพียงพอจริงๆ เท่าไหร่หล่ะถึงจะพอ เอาหล่ะ ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับคอมพิวเตอร์ที่สามารถรัน Windows Vista (ได้) และ ที่สามารถรัน (ได้ดี)Windows Vista Capable PC หรือ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถรันวิสต้าได้- เครื่องของท่านมีโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ ความเร็วอย่างน้อยต้อง 800 เมกกะเฮิร์ตขึ้นไป- หน่วยความจำแรม 512 เมกกะไบต์ขึ้นไป- กราฟิกการ์ด หรือการ์ดจอที่สนับสนุน Direct X 9สเปคที่ผมไว้นี่สามารถรัน Vista และทำงานจำพวกเวิร์ดหรือท่องอินเตอร์เน็ตได้ แต่ยังไม่แรงพอที่จะทำงานจำพวกเน้นกราฟิกแรงๆ หรือแม้แต่เล่นเกมส์ จริงๆมันก็ได้นะครับ แต่มันจะช้ามากกกก มากจนคุณรู้สึกว่า ควรจะอัพเกรดได้แร้นนWindows Vista Premium-Ready PC หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่รันวิสต้าได้ดี- โปรเซสเซอร์ความเร็ว 1 กิกะเฮิร์ต แบบ 32 บิต และ 64 บิต (สอบถามที่ร้านว่าโปรเซสเซอร์ของคุณเป็นแบบไหน ถ้าเป็นแบบ 64 บิต คุณจะสามารถเพิ่มแรมในระบบได้มากกว่า)- หน่วยความจำแรม 1 กิกะไบต์ขึ้นไป- กราฟิกการ์ดหรือการ์ดจอที่สนับสนุน Aero และมีหน่วยความจำกราฟิกอย่างน้อย 128 เมกกะไบต์ขึ้นไป- ฮาร์ดิสก์ไดรว์ฟ ต้องอย่างน้อย 40 กิกะไบต์ขึ้นไป และยังว่างอยู่อย่างน้อย 15 กิกะไบต์- ดีวีดีรอม- การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตหมายเหตุ: สำหรับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือเครื่องพีซีเดสก์ท็อป ที่ใช้การ์ดจอแบบแชร์หน่วยความจำกับระบบจำพวก Intel Integrate Graphic หรือ Hypermemory/TurboCache 3D จาก NVIDIA ให้คุณทราบว่าหากรันวิสต้า ระบบของคุณจะช้าลงกว่าการรัน Windows XP เป็นอย่างมาก เพราะว่า Windows Vista นั้นจำเป็นต้องใช้หน่วยความจำของกราฟิกการ์ดในการรัน Aero เพื่อทำวินโดวส์แบบโปร่งใส และหน่วยความจำระบบที่ใช้งานได้จริง จะน้อยลงอีกมากการใช้วิสต้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด คุณเองต้องพิถีพิถันในการเลือกสเปคของเครื่องสักหน่อยนะครับ ^^

มารู้จัก office2007 กันเถอะ










ที่เรารู้จักกันในนามของ Word หรือ Excel ที่เราๆท่านใช้กันประจำนั้นแหละครับ แต่ที่มาแนะนำนั้นมันเปลี่ยนโฉมไปพอสมควรเลยละครับและมีนามว่า Office 2007 ไมโครซอฟท์ออฟฟิส 2007 (รหัสการพัฒนา Office 12) เป็นชุดซอฟท์แวร์ใหม่ล่าสุดของไมโครซอฟท์ที่จะมาฉีกความจำเจของการทำงานในชุดออฟฟิสให้มีความสนุกสนาน ใช้งานง่าย สะดวกสบายด้วยเครื่องมือและลูกเล่นมากมาย จนนับได้ว่าเป็นชุดออฟฟิสที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยสัมผัสมา ไม่ว่าคุณจะเคยชอบ หรือไม่ชอบไมโครซอฟท์ ออฟฟิสมาก่อนหรือไม่ หากคุณได้สัมผัสกับการใช้งานของชุด 2007 ที่กำลังจะมาถึงในปลายปีนี้แล้ว คุณต้องหลงรักมันแบบผมอย่างแน่นอน (ไม่ง่ายนะที่ไมโครซอฟท์จะทำซอฟท์แวร์อะไรออกมาได้ตรงใจท่านผู้ชมขนาดนี้ นับจากชุด Office v.x For Macintosh)
Word to Word, PowerPoint to PowerPointชุดแอพลิเคชั่นของ 2007 ไม่เพียงได้รับการพัฒนาในเรื่องของฟังก์ชั่นต่างๆ แต่ยังได้รับการปรับปรุงระบบติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface UI) แบบใหม่ทั้งหมด Office ของไมโครซอฟท์ไม่เคยดูดีเท่านี้ Ribbon เป็นรหัสการพัฒนาของ UI ตัวนี้ ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างปราณีต บรรจง และตอบสนองตามการใช้งานของผู้ใช้ แถบด้านบนของ Ribbon จะเปลี่ยนไปตามการใช้งานของคุณ คลิ๊กที่กราฟ Ribbon จะตอบสนองการทำงานของคุณด้วยการปรับเปลี่ยนเป็นการจัดการกับกราฟให้คุณ ง่าย และได้ผล การทำงานของคุณจะสะดวกกว่าที่เคย ปลุกพลังแห่งการสร้างสรรค์ให้กับคุณ แบบไม่ต้องมีความรู้เรื่องกราฟิกและเทคนิคอันยุ่งยากใดๆ งานของคุณก็จะเสร็จอย่างรวดเร็วและมืออาชีพแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในแอพลิเคชั่นด้านออฟฟิสใดๆ



พลังแห่ง RibbonRibbon เป็นคำเรียก Toolbar แนวคิดใหม่ของ Office 2007 ที่จะให้คุณใช้งานคำสั่งได้อย่างที่ใจคุณต้องการ การพัฒนาด้วยการอ้างอิงถึงผู้ใช้เป็นหลักนี้ทำให้ Office เวอร์ชั่นนี้เหนือชั้นกว่าทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมา และเหนือชั้นกว่า โปรแกรมด้าน Office แบบเดียวกันเจ้าอื่นอย่างโดดเด่น
ทูลบาร์เดิมของ Office ถูกแทนที่ด้วย Ribbon ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของเวอร์ชั่นนี้ ที่ได้ตระเตรียมเซ็ตของคำสั่งที่คุณต้องการไว้บนหน้าจออย่างเรียบร้อย เช่นเมื่อคุณพิมพ์ข้อความ การจัดการเกี่ยวกับ Format ก็เตรียมพร้อมให้คุณเรียบร้อย เมื่อคลิ๊กดรอปจะมีคำสั่งกราฟิกต่างๆปรากฏออกมา เมื่อคุณต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในเอกสาร ก็เพียงแค่นำเมาส์ไปชี้ตรงด้านบนตำแหน่งนั้นเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆรูปแบบของเอกสารก็จะเปลี่ยนตามไปชุดออฟฟิสในฝันOffice 2007 เป็นโปรแกรมชุดสำหรับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น การพิมพ์เอกสาร, ตารางคำนวณ, ระบบจัดการฐานข้อมูล, การนำเสนอ, การติดต่อ และอีเมล์ รวมถึงการทำงานแบบเป็นทีมร่วมกันของโปแกรมใหม่ล่าสุดอย่าง Groove 2007 สุดยอดโปรแกรม Collaboration ที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ส่วนไหนของโลก การทำงานร่วมกันของเอกสารต่างๆ จะเป็นเรื่องง่าย อย่างที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อนความเข้ากันได้กับเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้Office 2007 เปลี่ยนแปลงการบันทึกข้อมูลจาก .doc สู่ระบบ .docx ซึ่งเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นสำหรับฟอร์แมตของไฟล์ ที่คุณสามารถ
บันทึกเป็นเวอร์ชั่นของไฟล์ Office 97, 2000, XP และ Office 2003 ได้ ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเวอร์ชั่นไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
บันทึกไฟล์เป็น .PDF ได้เลยจากตัวโปรแกรมเอง ทำให้การแลกเปลี่ยนเอกสารข้ามแพลตฟอร์มที่เคยเป็นปัญหา หมดไป
แลกเปลี่ยนข้อมูลผ่าน Office SharePoint Server และ Groove Server ระหว่างทีมเวิร์ค ทำให้การส่งผ่าน, แก้ไข และจัดการข้อมูลของ Office เวอร์ชั่นต่างๆนั้นทำได้ง่าย, สะดวกและมีประสิทธิภาพ นอกจาก Office 2007 จะปรับเปลี่ยนหน้าตาและความสามารถให้เหนือชั้นอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วของขวัญชิ้นที่ดีที่สุดที่ Microsoft ให้มาด้วยนั้นคือ User Friendly ของระบบการทำงาน ด้วยการศึกษาและค้นคว้าถึงความต้องการของผู้ใช้งานมาตลอดนับตั้งแต่เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ ทำให้วันนี้ Microsoft Office 2007 System เป็นระบบแอพลิเคชั่นสำหรับการทำงานในยุคหน้า ที่จะให้คุณและผมสนุกสนานในการทำงานมากยิ่งขึ้นอย่างแท้จริง

ความต้องการระบบของ Office 2007เนื่องจาก Microsoft Office 2007 เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมา เพื่อให้ใช้งานง่าย ดังนั้นส่วนติดต่อกับผู้ใช้และการทำงานจึงเป็นแบบกราฟิกโดยมาก อีกทั้งการทำงานในส่วนของ Live Preview ซึ่งต้องการหน่วยความจำในการทำงานมาก ผู้ที่ต้องการใช้จึงจำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เพียงพอสำหรับรันระบบด้วย
Microsoft Windows XP Service Pack (SP) 2 หรือ later หรือ Microsoft Windows Server 2003 (หรือสูงกว่า) เป็นสิ่งจำเป็น
500 megahertz (MHz) processor หรือสูงกว่า; 256 megabyte (MB) RAM หรือสูงกว่า; DVD drive; 1 gigahertz (GHz) and 512 MB of RAM หรือสูงกว่า เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรัน Microsoft Office Outlook 2007 with Business Contact Manager
2 gigabyte (GB) สำหรับการติดตั้ง; เนื้อที่ในฮาร์ดดิสจะว่างเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ไฟล์ดาวน์โหลดและไฟล์สำหรับการติดตั้งถูกลบออกไป
หน้าจอที่รองรับ 800x600; 1024x768 หรือมากกว่า
สำหรับผู้ใช้ Outlook 2007 จำเป็นต้องมีโปรแกรม Internet Explorer ไว้ในเครื่องด้วย









ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ Microsoft Office 2007


Microsoft Office 2007 Homepage Preview site


Windows Vista

อาการเสียของคอมพิวเตอร์ ตอนที่5


เพราะเหตุใดจอจึงดับโดยไร้สาเหตุใช้ Windows 98 ตอนบูตเครื่องขึ้นมาไม่มีปัญหา แต่ถ้าทิ้งเครื่องไว้สักประมาณ 5 นาทีหรือขณะกำลังทำงาน อยู่ จอก็ดับไปเฉย ๆ แต่เครื่องทำงานอยู่ ถ้าไปกดปุ่ม ESC ก็จะกลับมาเหมือนเดิม สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็คือ เกิดจากการตั้งค่า ในส่วน Power Management ( การประหยัดในวินโดวส์ เมื่อไม่ได้ทำงานบนคอมพิวเตอร์เป็นเวาลานาน ๆ ) ของวินโดวส์ ซึ่งขั้นตอนการแก้ไขก็ทำตามขั้นตอนดังนี้ 1 เข้าไปในส่วนของ Display Properties คลิกแท็บ Screen Saver 2 คลิกปุ่ม Setting 3 คลิกที่แท็บ Power Schemes4 เลือกค่าต่าง ๆ ในส่วนของ Setting for Always.... ให้เป็น Never ให้หมด และคลิกปุ่ม OK เพื่อทำการบันทึกค่า5 คลิกปุ่ม OK อีกครั้งเพื่อปิด หน้าต่าง Display Propertie เพียงแค่นี้ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว
ชัตดาวน์แล้วปรากฎข้อความ "Windows protect errorปัญหานี้มักจะเกิดมาจากไดรเวอร์ของอุปกรณ์ฮาร์แวร์ประเภทการ์ดจอ และเมนบอร์ดเสียเป็นส่วนใหญ่ซึ่งการแก้ไขทั่ว ไปก็ให้เข้าไปดาวน์โหลดไดรเวอร์ ตัวใหม่ ๆ จากเว็บไซต์ของผู้ผลิต มาแทนไดรเวอร์ ตัวเก่า ส่วนคนที่ใช้การ์ดจอของ Nvidia และใช้ไดรเวอร์ Detemator 3 (6.xx) ก็จะเกิดปัญหานี้ด้วย เพราะว่า Detemator 3 (6.xx) จะไม่ทำการเคลียร์แรม เมื่อเลิกใช้ พอทำการชัตดาวน์วินโดวส์มันจะจัดการกับแรมที่ค้างไม่ได้ จึงขึ้นข้อความ Protection Error ทางแก้ไขนั้นให้ทำการ ดาวน์โหลดไดรเวอร์การ์ดจอของ Nvidia เวอร์ชั่น 7.xx มาใช้งาน ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ http://www.nvidia.com/แต่ไดรเวอร์ตัวนี้ก้ยังมีปัญหาในการเล่น Mode 3D วิธีแก้ก็ให้คุณทำการรีสตาร์ทใหม่ 1 ครั้ง แล้วค่อยชัตดาวน์ครับ
จอภาพสั่น ๆ หรือกระพริบอยู่ตลอดเวลา ทำงานแล้วรู้สึกปวดตาจะแก้ปัญหาอย่างไรดี ?? ปัญหานี้เกิดจากคุณไม่ได้เข้าไปปรับอัตรา Refresh Rate ของจอภาพใน Windows ครับ หรือถ้าปรับแล้วก็ยังสั่นอยู่อีก ให้ลองดูครับว่ามีคลื่นสนามแม่เหล็ก มากวนจอภาพของเราหรือเปล่า เช่น จอภาพที่วางใกล้ ๆ กัน หรือจะเป็นคลื่นจากลำโพงที่วางไว้ใกล้กับจอภาพ อัตรา Refresh สูง ๆ นั้นจะช่วยให้ภาพที่แสดงออกมานั้นนิ่งดูสบายตามากขึ้น สำหรับจอภาพขนาด 15" ส่วนใหญ่จะปรับอัตรา Refresh Rate อยู่ที่ 75-85 Hz ซึ่งการปรับอัตรา Refresh Rate นี้จะสัมพันธ์กับความละเอียดของจอด้วย เช่น 800x600 @ 85Hz , 1024x768 @ 75Hz ฯลฯ ขั้นตอนการปรับอัตรา Refresh Rate ทำได้ดังนี้- คลิกขวาที่ Desktop เลือก Properties - คลิกที่แท็บ Settings และคลิกที่ Advanced - คลิกที่แท็บ Adapter ที่ Refresh Rate สามารถปรับอัตรา Refresh Rate ได้ตามต้องการ - คลิก ปุ่ม OK - คลิกปุ่ม YES เพื่อยืนยันอีกครั้ง เพียงแค่นี้ก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้วละครับ
หากไม่มีส่วนให้ปรับค่า Refresh Rate ทำอย่างไรเป็นปัญหาพอสมควร เพราะหลังจากการที่ได้ติดตั้งไดรเวอร์ต่าง ๆ ครบแล้วครั้นจะมาทำการปรับแต่งอัตรา Refresh Rate แต่ปรากฎว่าไม่สามารถทำได้เลย เพราะไม่มีช่องให้ปรับแต่ง ซึ่งหากว่าพบปัณหาแบบนี้ก็ต้อง ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการปรับแต่งนั่นก็คือ โปรแกรม Power Strip โดยสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ Download.com เมื่อทำการ ดาวน์โหลดและติดตั้งเสร็จแล้ว ตัวโปรแกรมก็จะฝังตัวอยู่ที่ทาส์บาร์ใกล้ ๆ กับนาฬิกาด้านขวาล่าง ซึ่งขั้นตอนในการปรับแต่งจากโปรแกรม Power Strip มีดังนี้ 1 คลิกขวาที่ไอคอน Power Strip 2 เลือกไปที่ตัวเลือก Desk top3 ปรับค่ารีเฟรชในส่วนของ Refresh Rate ซึ่งควรปรับอยู่ที่ 70-85 Hz4 เมื่อปรับแล้วก็ให้ คลิกปุ่ม OK เท่านี้ก็สามารถปรับอัตรารีเฟรซได้แล้วครับ

ที่ office ไม่ยอมให้เล่น msn อยากรู้ว่าจะมีวิธีการเล่นอย่างไรอีกบ้าง
คงต้องผ่านเวบแล้วละครับ โดยเข้าไปที่ webmessenger.msn.com ถ้า Browser ของคุณเปิดระบบ Block Popup เอาไว้แนะนำให้ปิดก่อนสักครู่ครับ พอเรา Sign in ได้แล้วค่อยกลับมาเปิด Block Popup ใหม่ครับ ไม่งั้นคุณจะไม่สามารถเล่นได้

อาการเสียของคอมพิวเตอร์ ตอนที่4


ไดรว์ซีดีรอม อ่านแผ่นได้บ้างไม่ได้บ้าง หาแผ่นไม่เจอ แก้ปัญหาอย่างไรปัญหานี้มักจะไม่เกิดกับไดรว์ซีดีรอมตัวใหม่ ๆ ครับ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดกับไดรว์ซีดีรอมที่มีการใช้งาน มานานแล้ว หรือประมาณ 1 ปีขึ้นไป และสาเหตุที่เห็นกันบ่อยก็คือหัวอ่านสกปรก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกฝุ่น เข้าไปกับแผ่นซีดี แล้วเราก็นำมันเข้าไปอ่านในไดรว์ ฝุ่นก็เลยเข้าไปติดที่หัวอ่าน พอสะสมมาก ๆ เข้าก็เลย ทำให้เกิด อาการดังกล่าว อ่านแผ่นไม่ได้บ้างละ หาแผ่นไม่เจอบ้างละ วิธีการแก้ไขก็คือทำความสะอาดหัวอ่าน โดยใช้แผ่นซีดีที่ไว้สำหรับทำความสะอาดหัวอ่าน ที่มีขายอยู่ตามร้านคอมพิวเตอร์ทั่วไปมาใช้ รับรองอาการดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
ปัญหาของซีดีออดิโอถ้าคุณเล่นซีดีออดิโอใน CD Writer แล้ว Windows Media หรือ CD Playar แสดงข้อความ "Please insert an audio compact disk" หรือ Data or no disk loaded อาจมีสาเหตุมาจากไดรเวอร์ วิธีแก้คือ ให้เปิด Control Panel เลือก Sound &Multimedia คลิก Devices ดับเบิลคลิก ที่ Media Control Devices และ CD Audio Devices (Media Control) คลิก Remove และ Yes คลิก OK เพื่อปิด หน้าต่างทั้งหมดและบูตเครื่องใหม่
อะไรคือสาเหตุ ที่ทำให้แผ่น CD-ROM เล่นเพลงจนแผ่นแตกกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วครับ เรื่องไดรว์ CD-ROM ทำแผ่นแตก ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะไดรว์ ที่ผลิตในปัจจุบันมีความเร็วสูง ทำให้เมื่ออ่านแผ่นที่มีคุณภาพต่ำหรือแผ่นที่มีรอยขีดข่วนลึก ๆ ก็ทำให้เกิดสะดุดเป็นผล ทำให้แผ่นแตก ซึ่งปัญหานี้เราจะไม่พบในไดรว์รุ่นเก่า ๆ เลย ทางแก้ก็คือหลีกเลี่ยงการใช้แผ่นที่มีคุณภาพต่ำ หรือแผ่นที่เป็นรอยมาก ๆ
แบตเตอรี่เสื่อมทำอะไรกับเครื่องคุณได้บ้างบางครั้งเมื่อเราเปิดเครื่องคอมฯ ขึ้นมาปรากฎว่าเจอกับข้อความ "CMOS CHECKSUM ERROR" หรือไม่เมื่อเราใช้เครื่องคอมฯ ไปเรื่อย ๆ จะสังเกตุเห็นว่านาฬิกาของเครื่องดูเหมือนจะเดินช้าลงนั่น แสดงให้เห็นว่าแบตเตอรี่ที่อยู่ในเมนบอร์ดของเรากำลังจะหมด และถ้ายังคงใช้งานต่อไปโดยไม่หา แบตเตอรี่มาเปลี่ยนก็จะทำให้ค่าต่าง ๆ ที่ตั้งไว้ใน BIOS SETUP หายไปได้ อย่างเช่นค่าของ ฮาร์ดดิสก์ว่า เป็นชนิดอะไร ทำให้เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ เราจะต้องตั้งค่าเหล่านี้ใหม่ทุกครั้ง
"Bad or Missing Interpreter" มันคืออะไรปัญหาลักษณะนี้จะเกิดจากไฟล์ Command.com นั้นเกิดความเสียหาย หรือถูกลบทิ้งไป ซึ่งทางแก้ไขก็คือให้คุณทำการ ก๊อปปี้ไฟล์ Command.com จากเครื่องอื่น ซึ่งต้องเป็นวินโดวส์รุ่นเดียวกัน หรือจากแผ่น Start Up ดิสก์ที่สร้างจากเครื่อง คุณก็ได้ โดยเมื่อก๊อปปี้ไฟล์ได้แล้วก็ให้ใส่แผ่นในไดรว์ A แล้วเข้าไปที่ A : Promt จากนั้นก็พิมพ์คำสั่ง copy a:\command.com c: เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานคอมได้เป็นปกติ
"8042 GATE-A20 Error" มันคืออะไรหากว่าพบข้อความ 8042 GATE-A20 Error ปรากฎขึ้นมา นั่นแสดงว่าชิปที่ควบคุมการทำงานของแป้นพิมพ์บนเมนบอร์ด มีปัญหาหรืออาจเกิดจากปลั๊กเสียบไม่แน่น ให้คุณทำการปิดเครื่องแล้วลองขยับปลั๊กให้แน่นขึ้นดู หากยังไม่หายนั้นแสดง ว่าเมนบอร์ดของคุณมีปัญหาแล้ว ควรที่จะยกไปให้ซ่อมหรือไปเปลี่ยนกับทางร้านที่คุณซื้อมา (ถ้ายังมีประกัน)
ทำไมเสียงไม่สามารถแสดงออกมาพร้อมกัน 2 เสียงได้ โดยทั่วไปแล้วการ์ดเสียงส่วนใหญ่จะสามารถทำได้อยู่ ปัญหาน่าจะเกิดมาจากการ์ดเสียงหรือว่าโปรแกรม DirectX ซึ่งการแก้ไขก็ให้คุณลองนำการ์ด เสียงตัวที่คุณใช้แล้วมีปัญหา ไปลองกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ดู หรือลองอัพเดต โปรแกรม DirectX ให้สูงกว่าเวอร์ชั่น 6 ถ้าหากไม่หายแสดงว่าการ์ดเสียงของคุณมีปัญหา แล้วละครับ
Disk Boot Failure สาเหตุอาจเกิดจาก เกิดจากคุณอาจลืมแผ่นดิสที่บูทไม่ได้ไว้ในไดร์ฟ A: หรือ แผ่น CD ไว้ในไดร์ฟ CD (กรณีตั้งซีมอสให้บูทที่ซีดีได้) หรือเกิดจากฮาร์ดดิสที่เป็นตัวบูท C: ไม่สามารถใช้งาน ได้หรือมีการเปลี่ยนแปลงค่าในซีมอสทำให้ไม่ตรงรุ่นของฮาร์ดิส การแก้ปัญหา 1. ตัว Harddisk มีจานแม่เหล็กที่มีผิวเสียหายมากไม่สามรถใช้งานได้อีกต่อไป 2. ขณะที่ทำการ Scandisk ใช้เวลานานหลายชั่วโมงหรือพบพื้นที่เสียหายมากและต่อเนื่องให้ยกเลิกไปทำการ Format แทน (แต่โอกาสที่จะใช้ได้มีน้อยมากเนื่องจากผิวจานแม่เหล็กเสียหายมาก) 3. ตัวควบคุม Harddisk หรือสายแพรที่ใช้ต่อ Harddisk กับ Controler บน MainBoard เสียหรือเสื่อมสภาพ (จะมีโอกาสเกิดน้อยกว่าความเสียหายบนตัว Harddisk เอง) หลังจากทำตามขั้นตอนต่างๆ แล้วยังเกิดอาการดังกล่าวอีกให้ทำการ Format Harddisk ตัวนี้ โดยทำดังนี้ 1. Boot เครื่องด้วยแผ่น Startup Disk 2. เรียกคำสั่ง Format แบบเต็ม (Full Format) ดังนี้ โดยพิมพ์คำสั่งที่เอพร้อม a:/format c:/s และกด Enter และ ตอบ y และ Enter 3. ในขณะที่ทำการ Format โปรแกรมจะทำการตรวจสอบพื้นผิวของจานแม่เหล็กถ้าพบจุดเสียที่ใดก็จะทำการบันทึก ไว้ในตาราง FAT ของตัว Harddisk เพื่อไม่ให้โปรแกรม อื่นๆ นำพื้นที่นี้ไปใช้ได้อีก (จุดที่เสียจะเรียกว่า BAD Sector) 4. จากนั้นก็สามารถนำไปลง OS Program ต่อไปได้ 5. หากยังเกิดอาการดังกล่าวอีกแนะนำให้เปลี่ยนตัว Harddisk ครับ คงจะไม่ไหวแล้วจริงๆ
Harddisk ไม่ทำงาน (ไม่มีเสียง Motor หมุน) สาเหตุอาจเกิดจาก 1. เกิดจากไม่มีไฟเลี้ยงตัว Mortor และวงจรควบคุมตัว Mortor 2. ตัวควบคุมการทำงาน (Controler) บนตัว Harddisk เสียหาย3. สายบางเส้นที่ต่อจาก Harddisk กับตัวควบคุมบน Mainboard หลวมหรือหลุดหรือเกิดสนิม การแก้ปัญหา 1. ตรวจสอบสายต่อไฟเลี้ยงดูว่าแน่นหรือเกิดสนิมหรือเปล่า โดยการถอดออกมาแล้วตรวจดูว่าเป็นปกติหรือไม่ แล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่ 2. เปลี่ยนสายไฟเลี้ยงที่ต่อให้กับตัว Harddisk เส้นใหม่ดูว่าใช้งานได้หรือเปล่า 3. ทดลองเปลี่ยนสายแพร หรือถอดออกดูก่อนแล้วเปิดเครื่องเพื่อดูว่าทำงานได้หรือเปล่า 4. อาจลองนำเอาสายไฟเลี้ยงที่ต่อให้กับ CD-ROM Drive มาต่อดูก็จะรู้ได้ว่าสายจ่ายไฟเลี้ยงเสียหรือเปล่า
Sector not fond error reading in drive C: สาเหตุอาจเกิดจาก 1. ปัญหานี้จะคล้ายกับอาการ Data error reading in drive C: หรือ BAD Sector แต่ส่วนที่เกิดปัญหานี้จะเกิดกับส่วนของ File Allocation Table (FAT) ไม่ใช่ที่ตัวพื้นที่เก็บข้อมูลจริง 2. ส่วนของฮาร์ดดิสที่ใช้ในการเก็บข้อมูลของ FAT มีปัญหาเช่นเกิดการเสื่อมของสารแม่เหล็กหรือเกิดรอยที่ผิวของจานแม่เหล็ก เนื่องจากหมดอายุการใช้งาน การแก้ปัญหา 1. ทำเช่นเดียวกับปัญหา BAD Sector แต่ในส่วนโหมดของการ Scan ให้เลือกเป็นแบบ Standard ก็พอ โดยโปรแกรมจะทำการตรวจในส่วนของ File Allocation Table (FAT) และ Folders และเมื่อโปรแกรมตรวจพบข้อผิดพลาดก็จะทำการซ่อมแซมค่าที่ผิดพลาดนั้นๆ ให้กลับเป็นปกติ หรืออาจบันทึกเป็นชื่ออื่นแต่ตัวข้อมูลจะยังอยู่ซึ่งเราต้องเข้าไปแก้ไขเองอีกครั้ง ซึ่งปัญหาที่มักจะเกิดก็ได้แก่ Cross link, Folders error ที่เกิดขึ้นในตาราง FAT ซึ่ง Files ที่มักจะสร้างปัญหาบ่อยๆ ก็ได้แก่ประเภทที่มีส่วนขยายเป็น TMP ซึ่งมักจะถูกเก็บอยู่ที่โฟเดอร์ชื่อ TEMP (c:\windows\temp) ซึ่ง Files เหล่านี้ จะถูกสร้างจากโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ เช่น โปรแกรมเวิร์ดโปรเซสซิ่ง ซึ่งผู้ใช้งานควรที่จะทำการลบ Files พวกนี้ทิ้งเป็นประจำ การลบ temp files ทำได้โดยการเข้าไปที่โฟรเดอร์ดังนี้ และทำการเลือกทุก files และกดปุ่ม DELETE ที่แป้นคีบอร์ด (C:/windows/temp/*.tmp) 2. หากแก้ไขตามข้อแรกไม่ได้ผลควรที่จะทำการ Format ฮาร์ดดิสใหม่ และลงโปรแกรมใหม่เพื่อเป็นการจัดและเริ่มต้นระบบใหม่ซึ่งจะมีผลให้ความเร็วในการทำงานของเครื่องเพิ่มขึ้นด้วย ก่อนการทำการ Format ฮาร์ดดิสต้องแน่ใจว่าไม่มีความจำเป็นต้องรักษาข้อมูลบนตัวฮาร์ดดิส หรือได้สำรองข้อมูลที่สำคัญไว้ในสื่ออื่นๆ แล้ว การ Format ทำได้โดย Boot เครื่องด้วยแผ่น Startup Disk แล้วใช้คำสั่ง a:/format c:/s เพื่อทำการจัดเตรียมพื้นที่ใหม่ โดยโปรแกรมจะทำการตรวจสอบพื้นผิวของแผ่นจานเก็บข้อมูล และเมื่อไม่สามารถอ่านพื้นผิวบริเวณใดก็จะระบุตำแหน่งจุดที่เสียบนพื้นผิวเพื่อที่โปรแกรม Windows จะไม่ไปใช้พื้นที่นั้นในการเก็บข้อมูล การป้องกันปัญหา: 1. ทำการ Scandisk ทุกๆ สัปดาห์ 2. ลบ temp files ใน Windows/temp ทิ้งให้หมดหลังจากการทำ Scandisk แล้ว (ก่อนทำการ Scandisk และลบ temp file ทิ้ง ควรทำการปิดโปรแกรมทุกตัวก่อนทุกครั้ง) 3. ใช้โปรแกรม Disk Cleanup ช่วยในการลบ files ที่ไม่จำเป็นทิ้งโดยเริ่มต้นที่ Start Menu/Programs/Accessories/System tools/Disk Cleanup จากนั้นทำเครื่องหมายถูกที่หน้า Temporary files
Data Error Reading in Drive C: สาเหตุอาจเกิดจาก เนื่องจากโปรแกรมไม่สามารถอ่านข้อมูลจากผิวของตัวจานเก็บข้อมูลได้ การแก้ปัญหาเรียกโปรแกรม Scandisk ขึ้นมาโดย1. ดับเบิลคลิกที่ My Computer 2. ชี้ mouse ไปที่ Drive ที่ต้องการจะทำการ Scan 3. คลิกปุ่มขวาของ Mouse เลือก Properties 4. เลือก TAB Tools 5. กดปุ่ม [Check Now...] บน Windows Propeties 6. เลือกรูปแบบการ Scan เป็น [Thorough] 7. ทำเครื่องหมายถูกหน้า Automatically fix errors 8. เริ่มทำการ Scan โดยกดที่ปุ่ม Start 9. เมื่อทำการ Scan จนเสร็จแล้วจะมีหน้าต่างแสดงค่าที่ทำการ Scan ให้ดู (ScanDisk Results- [c:] ให้สังเกตุดูที่หัวข้อ bytes in bad sectors ถ้ามีตัวเลขขึ้นแสดงว่าโปรแกรม Scan ตรวจพบส่วนที่เสียหายของผิวจานแม่เหล็กของ Hardisk 10. กดปุ่ม close เพื่อทำการปิดโปรแกรม ScanDisk 11. ในขณะนี้โปรแกรม ScanDisk จะทำการตรวจสอบส่วนต่างๆ ของ Harddisk เรียบร้อยแล้วและได้ทำการทำเครื่องหมายบริเวณที่ไม่สามารถอ่านได้แล้วลงบนตารางแฟ็ท (FAT=File Allocation Tables), Folders หลังจากทำการ Scandisk เสร็จแล้วอาการดังกล่าวน่าจะหายไป

ใช้การ์ดจอของ TNT แล้วเมื่อพิมพ์ข้อความต่าง ๆ สระบนล่างไม่ยอมขึ้นมาทันที ต้องพิมพ์ตัวต่อไปก่อนจึงจะเห็น เป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก ๆ กับผู้ที่ใช้การ์ดจอของ TNT ครับให้ลองหา Driver รุ่นใหม่ ๆ จากเวปไซต์ของผู้ผลิตการ์ดจอมาใช้ จะแก้ไขได้หรือใช้ Driver ของ Detonator Version 3.65 หรือใหม่กว่านี้ขึ้นไป หาได้จาก http://www.nvidia.com
ปัญหาสีเพี้ยนของหน้าจอแก้ปัญหาอย่างไรปัญหาสีเพี้ยนลักษณะนี้อาจเกิดจากคลื่นแม่เหล็กที่วางอยู่ใกล้ ( ตู้เย็น,เตาอบไมโครเวฟ,ลำโพง ) ถาพที่ปรากฎ จึงมีสีเพี้ยนไป ซึ่งหากว่ามีการนำลำโพงที่ไม่มี Shield ป้องกันคลื่นแม่เหล็ก ไปวางไว้ข้างจอคอมพิวเตอร์ ก็อาจพบว่าภาพบนจอคอมพิวเตอร์แสดงสีเพี้ยน ๆ เพราะว่าในตัวของลำโพงจะประกอบไปด้วยคลื่นแม่เหล็กแรงสูงอยู่ภายใน จึงทำให้มอนิเตอร์ที่มีการใช้สนามแม่เหล็กในการควบคุมการยิงเม็ดสี ให้ตกกระทบ ตรงตำแหน่งบนหน้าจออย่างถูกต้อง เกิดอาการยิงผิดยิงถูก ภาพที่ออกมาจึงมีสี เพี้ยนไป วิธีการแก้ไขก็เพียงวางลำโพงให้ห่างจากจอคอมพิวเตอร์พอประมาณ หรือหาลำโพงที่ Shield ป้องกันคลื่นแม่เหล็กมาใช้ ภาพสีก็จะหายไปครับ แต่ถ้าอาการยัง ไม่ดีขึ้น ควรให้ช่างตรวจเช็คดูดีกว่า เพราะบางทีอาจมีปัญหาที่จอมอนิเตอร์เอง